posttoday

ไอซ์แลนด์ จุดบรรจบของน้ำแข็งและไฟ

28 มิถุนายน 2558

การเดินทางครั้งนี้มีความน่าสนใจตรงที่เมื่อมองทางซ้ายจะเห็นภูเขาน้ำแข็งและกราเซียหนาวยะเยือก

โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ  สรวิช สนธิจิรวงศ์

การเดินทางครั้งนี้มีความน่าสนใจตรงที่เมื่อมองทางซ้ายจะเห็นภูเขาน้ำแข็งและกราเซียหนาวยะเยือก แต่มองทางขวาจะพบภูเขาไฟและหินลาวาสีดำเมี่ยม เขาอธิบายภาพเหล่านี้ว่า “ไอซ์แลนด์คาดการณ์ไม่ได้”

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โจ-สรวิช สนธิจิรวงศ์ ยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทอยู่ที่ประเทศอังกฤษก่อนจะกลับมาสานต่อธุรกิจที่บ้านในบริษัท เดอะซิกเนเจอร์ แบรนด์ ซึ่งในเดือน มิ.ย.ปีนั้นเขาเพิ่งกลับมาจากทริปไอซ์แลนด์ 5 คืน 6 วัน ประเทศที่ทำให้เขาทึ่งธรรมชาติ และยังจำเรื่องราวในทริปนั้นได้เป็นฉากๆ เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ฉากที่ 1 ก่อนไปให้วางแผน

เนื่องจากตอนนั้นเขาอยู่ที่ประเทศอังกฤษจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะไปเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบิน 3 ชม.กว่า แต่หากเดินทางจากประเทศไทยจะไม่มีไดเรกต์ไฟลต์และใช้เวลาบินรวม 13 ชม.

ไอซ์แลนด์ จุดบรรจบของน้ำแข็งและไฟ

 

ไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มีเมืองหลวงชื่อเมืองเรคยาวิก ฤดูกาลในเดือน มิ.ย.กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน (แต่ไม่ร้อน) เรื่อยไปจนถึงเดือน ก.ย. จากนั้นจะเข้าสู่ฤดูหนาวที่ยาวนาน 8 เดือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.-พ.ค.

การเดินทางในประเทศต้องอาศัยรถยนต์เป็นหลัก ถ้าไม่ขับรถเองก็ต้องซื้อวันเดย์ทริปจากเอเยนซีท้องถิ่นที่มีโปรแกรมเสนอขายกว่า 30 เส้นทาง โดยสามารถหาข้อมูลและจองทัวร์ได้ล่วงหน้าในเว็บไซต์ที่มีให้เลือกมากมาย จะจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือจ่ายหลังทัวร์เสร็จก็แล้วแต่เงื่อนไขของบริษัทนั้น ส่วนตัวเขานั้นเลือกทั้งสองแบบ คือทั้งเที่ยวเองและซื้อทัวร์บ้างบางวัน

ฉากที่ 2 โลกนี้สีมิลค์กี้บลู

หลังจากเครื่องบินมาส่งบนดินแดนน้ำแข็ง เขาใช้บริการฟลายบัส (FlyBus) จากสนามบินไปเที่ยวทันทีที่ “บลู ลากูน” (Blue Lagoon) บ่อน้ำแร่สีฟ้านวลอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิว สามารถรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ แต่ด้วยความสวยงามของมันแล้วน่าจะบำบัดจิตใจและอารมณ์ได้มากกว่าเรื่องใดๆ

ไอซ์แลนด์ จุดบรรจบของน้ำแข็งและไฟ

 

เขาเล่าขั้นตอนการแช่น้ำให้ฟังว่า ก่อนอื่นทุกคนต้องเปลือยอาบน้ำ แยกชาย-หญิง จากนั้นสวมชุดว่ายน้ำและลงสู่บลู ลากูน นักท่องเที่ยวสามารถแช่นานเท่าไหร่ก็ได้ ที่ห้ามพลาดคือต้องไปพอกหน้าที่บ่อโคลน ซึ่งหากใครติดใจก็มีให้ซื้อเป็นของฝากกลับไป

จากบลู ลากูน จะเห็นภูเขาน้ำแข็งห้อมล้อม ซึ่งหากตัวไม่เปื่อยเสียก่อนก็คงแช่น้ำมองมันได้ทั้งวัน ตัวเขาเองแช่ไป 2 ชม. ก่อนจะจับฟลายบัสอีกรอบเพื่อเข้าตัวเมือง

เมืองเรคยาวิกเป็นเมืองเล็กๆ ไม่มีตึกสูง บ้านเรือนทาสีฉูดฉาด ซึ่งมีจุดชมวิวมุมสูงบนโบสถ์ Hallgrimskirkja ที่แปลว่า โบสถ์ของฮาลล์กริมูร์ สถาปัตยกรรมแนวอิมเพรสชันนิสม์ที่ใครเห็นก็ต้องสะดุดด้วยรูปทรงสามเหลี่ยมผิดแปลกไปจากบ้านเรือนที่เรียบง่าย

ไอซ์แลนด์ จุดบรรจบของน้ำแข็งและไฟ

 

ภายในเมืองสามารถเดินเล่นได้ “เดินยี่สิบนาทีก็รอบ” เขาว่าอย่างนั้น เพราะจากโรงแรมสามารถเดินไปท่าเรือเพื่อไปดูวาฬได้เลย

กิจกรรมนั่งเรือชมวาฬใช้เวลาล่องประมาณ 3 ชม. นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปเลือกบริษัทได้ที่ท่าเรือโดยไม่ต้องจองล่วงหน้า ถ้าถามว่าการันตีไหม มันขึ้นอยู่กับโชค อย่างเขาโชคดีเห็นผิวดำๆ ของมัน (ซึ่งถ้าเทียบกับขนาดแล้วเหมือนเห็นเพียงไรขน) แต่ที่เห็นชัดและชัวร์คือ ปลาโลมาและนกพัฟฟิน เจ้าถิ่นที่จะออกมาทักทายนักท่องเที่ยวเสมอ

ฉากที่ 3 ชิมน้ำแข็ง 100 ปี

ทุกเช้านักท่องเที่ยวจะมานั่งรวมกันที่ล็อบบี้เพื่อรอบริษัททัวร์ของตัวเองมาเรียกขึ้นรถ เขาคิดถึงสมัยเด็กเวลารอรถโรงเรียน แต่จุดหมายปลายทางเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่เลือกเอง ซึ่งวันนั้นเขามีนัดกับธารน้ำแข็ง 100 ปี

ไอซ์แลนด์ จุดบรรจบของน้ำแข็งและไฟ

 

เส้นทางเซาท์ โคสท์-ทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน (South Coast & Jokulsarlon Glacier Lagoon) ใช้เวลาเที่ยวประมาณ 14 ชม. เดินทางโดยรถบัสรับได้ประมาณ 30 คน รถจะขับออกนอกตัวเมืองไปทางใต้ผ่านทัศนียภาพที่เขาเอ่ยว่า “ไม่เคยเจอที่ไหนเป็นแบบนี้” ขนาดตัวเขาเองที่เดินทางต่างประเทศเป็นว่าเล่นยังประหลาดใจ

“ระหว่างทางจะเจอความหลากหลายทั้งกลาเซีย หินดำ ทุ่งหญ้า ทางลาวา มันเป็นธรรมชาติที่แตกต่างกันแต่อยู่ด้วยกัน” เขากล่าว

รถจะจอดแวะแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจระหว่างทาง เช่น น้ำตกสโคการ์ฟอสส์ (Skogafoss) อยู่ในเขตหมู่บ้านสโคการ์ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 5 ของไอซ์แลนด์ กว้าง 25 ม. และสูง 60 ม. นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปชมใกล้ๆ ได้ และน้ำตกเซลจาลันต์ฟอสส์ (Seljalandsfoss) เป็นน้ำตกยอดนิยมที่ใครไปจะต้องเดินไปหลังน้ำตก ซึ่งอาจเปียกเสียหน่อยแต่ได้ภาพสวยแน่นอน

ไอซ์แลนด์ จุดบรรจบของน้ำแข็งและไฟ

 

เส้นทางจะไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบอันเป็นที่ตั้งของทะเลสาบธารน้ำแข็งอายุ 100 ปี โดยจะเปลี่ยนไปลงรถรุ่นพิเศษที่สามารถลงน้ำและเปลี่ยนเป็นเรือได้ทันที

ล่องเรือรอบนี้เพื่อชมความงามของน้ำแข็งโดยเฉพาะ ส่วนเจ้าแมวน้ำที่นอนอาบแดดถือว่าเป็นตัวประกอบ ไกด์ในเรือจะอธิบายความเป็นมาและให้ชิมน้ำแข็ง 100 ปีที่หักมาสดๆ ซึ่งเขาได้ลองชิมมาแล้ว และลงความเห็นว่า “ก็น้ำแข็ง” แค่นั้น

ข้อมูลสำคัญคือ ทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งในเดือน เม.ย. ดังนั้นจะไม่มีการล่องเรือ และจะกลับมาให้บริการอีกครั้งตั้งแต่เดือน พ.ค.เป็นต้นไป

ไอซ์แลนด์ จุดบรรจบของน้ำแข็งและไฟ

 

ฉากที่ 4 วงแหวนทองคำ

ถ้าถามว่านักท่องเที่ยวมาไอซ์แลนด์แล้วไปเที่ยวไหน ทุกคนไป “วงกลมทองคำ” (Golden Circle) เส้นทางทัวร์ยอดนิยมตลอดกาล ประกอบด้วย สถานที่หลักๆ 3 แห่ง ได้แก่ น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) หรือไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถูกขนานนามว่าเป็นน้ำตกทองคำ เพราะหนึ่ง Gull ในภาษาไอซ์แลนด์แปลว่าทองคำ และสอง เมื่อพระอาทิตย์กระทบน้ำที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศทำให้เป็นประกายทองสวยงาม

ถัดไปคือ น้ำพุร้อนเกย์เซอร์ (Gaysir) เป็นน้ำพุร้อนที่จะปะทุทุกๆ 7-10 นาที พุ่งสูงถึง 70 ม. นักท่องเที่ยวจะไปยืนรอชมรอบบ่อตลอดเวลา ส่วนบ่ออื่นๆ บ้างก็เป็นน้ำพุร้อน บ้างก็มีแต่ควันลอยออกมา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์และหาดูได้ยาก แห่งสุดท้ายคือ ทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟ ที่เรียกว่า Kerid Crater Lake ตามข้อมูลระบุว่าภูเขาไฟมีอายุประมาณ 3,000 ปี ซึ่งน้ำในปล่องมีระดับเท่ากับน้ำทะเลด้านนอก ไม่ใช่น้ำฝนแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ในบริเวณใกล้เคียงกันยังมีภูเขาไฟอยู่อีกหลายลูก รวมเรียกว่าโซนภูเขาไฟตะวันตก แต่ Kerid ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ถนนและมีความสวยงาม

ไอซ์แลนด์ จุดบรรจบของน้ำแข็งและไฟ

 

วงกลมทองคำใช้เวลาทัวร์ราว 8 ชม. เขาเลือกใช้ทัวร์เล็กโดยมีรถตู้เป็นยานพาหนะ เสน่ห์ของทัวร์กลุ่มเล็กคือทุกคนบนรถจะทำความรู้จักกัน ซึ่งเขาคิดว่าเป็นความน่ารักอีกแบบ แต่บางคนอาจไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าหรือขี้เกียจตอบคำถาม ลักษณะนี้ควรซื้อทัวร์แบบกลุ่มใหญ่ที่ใช้รถบัสแทนเพื่อตัดปัญหาคนรอบข้าง

ฉากที่ 5 อาณานิคมนก

วันสุดท้ายในไอซ์แลนด์ เขาเลือกที่จะไปเส้นทางไม่ป๊อปปูลาร์เพื่อให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร เรียกว่าเส้นทางแหลมสแนเฟลล์เนส (Snaefellsnes Peninsula)

เขาเล่าว่าเส้นทางนี้ไม่มีไฮไลต์ แต่จะแวะไปเรื่อยๆ ทั้งวิวภูเขาไฟทรงประหลาด ชายหาดสีดำ หมู่บ้านชาวประมง และผารังนก ซึ่งถ้าจะหาไฮไลต์ก็คงเป็นผานี้ โดยเหตุการณ์จะเกิดขึ้นทุกหน้าร้อน นกหลายชนิดจะบินอพยพมาทำรังบนหน้าผาเหมือนการล่าอาณานิคม ยึดพื้นที่ตามซอกหินสร้างรังจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนคนก็นำมาเป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดใจ ซึ่งทำได้แค่มองจากมุมไกลเท่านั้น

สรุปว่าวันสุดท้าย “ขายธรรมชาติล้วนๆ” โจกล่าว เพราะทัวร์มีหน้าที่แค่ขับรถและพาไปส่ง ส่วนที่เหลือธรรมชาติเป็นผู้ลงมือ

ฉากสุดท้าย to be continued

5 คืน 6 วัน ทำให้เขาลงมติแล้วว่าไอซ์แลนด์คือที่สุดของการท่องเที่ยวธรรมชาติ

“ไม่มีแสงสี ไม่มีขยะ ไม่ทำเพื่อการท่องเที่ยว” เขาอธิบาย “อย่างสวิตเซอร์แลนด์ก็ขายธรรมชาติ แต่ก็ยังเป็นการค้า (Commercial) แต่ที่ไอซ์แลนด์ขายธรรมชาติแบบบริสุทธิ์จริงๆ ในเมืองไม่มีร้านแบรนด์เนม ไม่มีร้านอาหารจังก์ฟู้ด ทุกคนที่มาก็เพื่อชมธรรมชาติที่นี่” คนที่กำลังลังเล เขาแนะนำให้รีบไป ก่อนมันจะเปลี่ยนแปลงเมื่อนักท่องเที่ยวมากขึ้น

ไอซ์แลนด์ได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง (Land of Fire and Ice) นักท่องเที่ยวที่ไปก็หวังจะเห็นความสวยงามของพวกมัน ซึ่งหากทุกคนเป็นนักท่องเที่ยวที่มีจิตสำนึกต่อโลกใบนี้ ธรรมชาติก็จะอยู่ดีตราบนานเท่านาน