พิมพจนา ปรีดีสนิท ซีบังเกิด แม่-ลูกคู่คิด... ชีวิตและงาน
โค้ชจิมมี่-พจนารถ ซีบังเกิด วัย 61 ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท จิมมี่ เดอะ โค้ช (Jimi The Coach Group) เจ้าของโครงการโค้ชเพื่อประเทศไทย
โดย วันพรรษา อภิรัฐนานนท์
โค้ชจิมมี่-พจนารถ ซีบังเกิด วัย 61 ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท จิมมี่ เดอะ โค้ช (Jimi The Coach Group) เจ้าของโครงการโค้ชเพื่อประเทศไทย (Coaching for Thailand) และเจ้าภาพใหญ่ Asia-Pacific Alliance of Coaches 2017 Coaching Conference เมื่อกลางปีที่ผ่านมา
อีกด้านหนึ่งของความเป็นโค้ชคือความเป็นแม่ของลูกสาว พิมพจนา ปรีดีสนิท หรือ “โบ” อายุ 33 ปี โบจบปริญญาโท 2 ใบ จากสาขา International Business และสาขา Diplomacy & Trade จาก Monash University ประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า PimPredee
เพิ่งผ่านพ้น “เดือนของแม่” มาไม่นาน วันนี้ขอให้คู่แม่-ลูก คู่คิดทั้งชีวิตและการงานคู่นี้ได้คุยถึงกันแบบโค้ชๆ (ฮา)
แม่มองโบว่า มีความเป็นตัวของเอง
จิมมี่ เล่าว่า โบเป็นเด็กเลี้ยงง่าย เลี้ยงและคุยกับลูกเหมือนเพื่อน เมื่อโบอายุได้ 3 ขวบครึ่ง ตอนนั้นพ่อกับแม่ของโบตกลงแยกทางกัน โบอยู่ในความดูแลของแม่ตั้งแต่นั้น บอกและทำให้ลูกเห็นเสมอว่า แม่รักโบ พ่อก็รักโบ วันไหนอยากอยู่กับใครก็บอก
“บ้านของเรา พ่อแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน คงไม่ง่ายนักสำหรับโบ แต่ความรักความอบอุ่นเท่านั้นทำให้เราผ่านสถานการณ์นั้นมาด้วยดี ลูกไม่ได้รู้สึกว่าครอบครัวแตกแยก ตอนที่เราอยู่กับลูกก็จะสนุกสนาน ไปไหนไปกัน แม่กับลูกจะมีเพลงประจำตัว ทุกวันนี้โบก็ยังร้องได้”
เพลงอมตะมีเนื้อร้องว่า “มีรถ 1 คัน มีกระเป๋า 1 ใบ คุณแม่ไปไหน ก็เอาน้องโบไปด้วย” ไปไหนกับลูก จิมมี่จะร้องเพลงนี้กันไปอย่างสนุกสนาน (หัวเราะ) เป็นการบอกโบทางความคิดว่า เราไม่มีวันทิ้งกัน เป็นความปลอดภัยในระดับจิตใต้สำนึกที่ทำให้เด็กคนหนึ่งรู้สึกปลอดภัย
“ดิฉันเป็นแม่ที่ไม่เคยผลักดันลูกให้เรียนเก่ง ไม่เคยชักนำให้ลูกเรียนพิเศษ แล้วก็ไม่เคยบอกลูกว่าต้องเรียนให้เก่ง แค่ให้เขารู้จักความรับผิดชอบ มีการบ้านก็ทำการบ้าน ไม่เคยลางานเพื่อติวลูกก่อนสอบ ปล่อยให้ลูกเป็นอิสระ” จิมมี่ เล่า
มีบ้างที่ให้ความเห็นเรื่องการปฏิบัติตัวกับผู้อื่น เพื่อน คนขายของ ยาม แม่บ้าน คุณแม่คนนี้ยึดมั่นในการเคารพที่เท่าเทียม ไม่ปฏิบัติตัวเหนือกว่าหรือต่ำกว่า สำหรับเรื่องแฟน จะให้ความเห็นไม่อ้อมค้อม ถ้าขัดตาขัดใจ ก็บอกตรงๆ
“เขาเป็นคนที่ทำอะไรด้วยตัวเอง มีความเป็นอิสระ ไม่เคยมีความตั้งใจที่จะหักดิบแม่ แต่เขาก็ไม่ยอมสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง มีวิธีคิด มีสติ และเคารพความเป็นมนุษย์”
หลังโบเรียนจบปริญญาโทใบที่ 2 ด้านการทูตที่ออสเตรเลีย คุณแม่ขอให้เรียนต่อเกี่ยวกับการโค้ช ได้กลับมาช่วยงานเป็นกรรมการผู้จัดการที่จิมมี่ เดอะ โค้ช ดูแลเรื่องบริหารและการตลาด จนไม่มีเวลาที่จะออกไปโค้ช ในที่สุดลูกบอกแม่ว่า จะไม่ทำงานแล้ว เพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ
คุณแม่บอกลูกว่า อยากเป็นอะไรก็ไปเป็น ไปหาให้เจอ ในที่สุดโบค้นพบอยากเป็นดีไซเนอร์ โดยไม่ได้ยึดติดปริญญาโท 2 ใบ และไม่เสียดายประวัติการทำงาน ในที่สุดโบก็มีแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น “พิมปรีดี” (PimPredee)
“ดีใจที่ลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบและใช่”
โบพูดถึงแม่ว่า แม่ไม่สอน แม่ทำให้ดู
“ตอนเด็กๆ รู้สึกว่าแม่ดุ แม่มีระเบียบ เนี้ยบเป๊ะ ในขณะที่เราไม่ใช่ จนเริ่มโตถึงเข้าใจว่า แม่เป็นเพื่อน ช่วงวัยรุ่น 17-18 ปี แม่เป็นคนแรกที่พาโบเข้าผับกินเหล้า เพื่อให้เรียนรู้และมีประสบการณ์จริง รู้จักโลกและรู้จักเอาตัวรอดในภาวะอันตราย”
หลังค้นพบตัวเองได้ทำแบรนด์ “พิมปรีดี” คอนเซ็ปต์เป็น Minimal Style เน้นความธรรมดา เรียบๆ คัตติ้งเนี้ยบ สามารถมิกซ์แอนด์แมทซ์ได้กับเสื้อผ้าที่มีอยู่เดิม ที่สำคัญคือร่วมสมัย ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ขนาดแนวเสื้อผ้ายังได้อิทธิพลมาจากแม่
“แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังจากแม่โดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อก่อนโบเห็นแม่ชอบแต่งตัว หยิบจับเสื้อตัวโน้นมาใส่กับกระโปรงกางเกงตัวนี้ บางชุดบางตัวแม่บอกว่า เนี่ยซื้อมาตั้งแต่โบยังไม่เกิดเลยนะ แบรนด์พิมปรีดีเน้นความคุ้มค่า อีก 10-20 ปี ก็ยังอินเทรนด์ นอกจากนี้ก็คือความเนี้ยบและเป๊ะเหมือนแม่”
ตัวตนโบในปัจจุบัน เธอบอกว่ามาจากแม่ แม่ไม่เคยสอน แต่ทำให้ดู การเลี้ยงแบบให้อิสระ ทำให้เกิดความมั่นใจ มองความท้าทายเป็นโอกาส กล้าคิดกล้าตัดสินใจ พูดได้เลยว่า แม่เป็นต้นแบบ ที่ทำให้เป็นโบ
“ขอบคุณค่ะแม่”