ปัทมวดี เสนาณรงค์+ปัทม สุจริตกุล อย่าโกหก กฎความสัมพันธ์ แม่-ลูก
เดี๋ยวนี้ "มะปราง" ปัทมวดี เสนาณรงค์ มีหนุ่มน้อยควงคู่ออกงานสังคมไม่เว้นแต่ละวัน
โดย มัลลิกา
เดี๋ยวนี้ "มะปราง" ปัทมวดี เสนาณรงค์ มีหนุ่มน้อยควงคู่ออกงานสังคมไม่เว้นแต่ละวัน เรียกได้ว่ามีบอดี้การ์ดส่วนตัวไปแล้ว หนุ่มคนนั้นคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวน "จาร์" ปัทม สุจริตกุล เรียกว่าแทบจะเป็นเงาของกันและกัน แต่ก็ไม่แน่ใจเสียแล้วว่าใครจะต้องดูแลใคร เพราะตอนนี้ลูกชายในวัย 19 ปี กำลังเนื้อหอม
เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ใช้ความรักเยียวยาลูกชาย
มะปรางหย่าร้างกับสามีตั้งแต่ลูกชายอายุ 11 ขวบ ความรักจากแม่และจากคุณตา ท่านยาย (ทวีศักดิ์ เสนาณรงค์-ท่านหญิงปัทมนรังษี เสนาณรงค์) คือสิ่งเติมเต็มทำให้ชีวิตของน้องจาร์ไม่ได้รู้สึกแหว่งวิ่น
“ในช่วงแรกน้องจาร์มีความรู้สึกอายเพื่อน ทำไมแม่พ่อแม่ต้องหย่ากัน แต่การที่พ่อแม่หย่ากันเขายังพอรับได้ เพราะเขาเห็นภาพที่พ่อแม่ทะเลาะกันเสียใจมากกว่า ซึ่งเราก็พยายามไม่ให้ลูกรับรู้ แต่ในบางจังหวะมันห้ามไม่ได้
วันนั้นจำได้ว่าพ่อเขาเดินไปหาน้องจาร์ที่สนามหน้าบ้านแล้วคุกเข่าพูดกับลูก แล้วก็ขับรถออกไป น้องจาร์มองตามแล้ววิ่งร้องไห้เข้ามากอดแม่ เป็นภาพที่สะเทือนใจเราเหมือนกัน
ในช่วงแรกๆ พ่อเขามาหาสัปดาห์ละครั้ง แต่จากนั้น 2 ปี น้องจาร์รู้ความจริงว่าพ่อแม่หย่ากันเพราะอะไรจากปากพ่อเขาเอง ซึ่งเราเตือนแล้วว่าอย่าบอก เพราะน้องจาร์รับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก แต่พ่อเขาเลือกที่จะบอกเอง โทรมาบอก น้องจาร์ก็ขอตัดขาดจากพ่อไปเองตั้งแต่วันนั้น แต่เราก็จะบอกตลอดว่าพ่อคือผู้มีพระคุณ คือผู้ให้ชีวิตเรามา น้องเขาก็รับฟังนิ่งๆ มาตลอด
ที่ผ่านมาเราขอร้องทุกคนในครอบครัว อย่าบอกน้องจาร์ว่าพ่อแม่เลิกกันเพราะอะไร ไม่อยากให้เขามองพ่อไม่ดี เพราะเราเลี้ยงเขามา เรารู้ว่าลูกมีนิสัยอย่างไร
ไม่มีเด็กคนไหนตายเพราะพ่อแม่เลิกกัน ต้องให้เขายอมรับ แต่ 80% แม่เอาลูกไว้ เพราะความผูกพันลูกอยู่ในตัวแม่มาก่อน แต่ก่อนเซ็นใบหย่าให้ เราขอว่าลูกต้องอยู่ในความปกครองของเราจนถึงอายุ 21 ปี
เราต้องดูแลทุ่มเทความรัก ไม่เคยโกหกลูก เพราะเราเห็นตัวอย่างแล้ว ตอนแรกเราปิดบังแค่ว่าเลิกเพราะอะไร แต่เรื่องเลิกกันไม่คิดจะปิดบัง พูดกับลูกตรงๆ ทุกคนในครอบครัวมีส่วนช่วยประคองหัวใจน้องจาร์ คุณตา ท่านยาย คุณลุง ป้าสะใภ้ เขาไม่รู้สึกว่าเขาขาด วันเกิดเขาทุกปีเขาจะมาก้มกราบเท้าแม่ บอกว่าแม่เลี้ยงดีที่สุด ไม่เคยรู้สึกขาดอะไร
เราก็เยียวยามาตลอด น้องจาร์มีนิสัยค่อนข้างเด็ดเดี่ยว มั่นใจตัวเอง ค่อนข้างซีเรียส ก็จะแนะนำให้เขาอดทน อยู่ในสังคมต้องใจเย็น ไม่แสดงสีหน้า
สิ่งที่น้องจาร์ทำให้ภูมิใจมาก คือความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ไม่เคยโกหกเลย เวลาทะเลากันถ้าผิดก็ขอโทษ แต่ขอเหตุผลว่าผิดเพราะอะไร เขาเด็ดเดี่ยวมาก พูดอะไรรักษาสัญญา อย่างวันหนึ่งเขาเห็นเรานอนร้องไห้หนักมาก เขาก็มากอดแล้วบอกว่าเขาจะเลิกร้องไห้เสียใจที่พ่อแม่หย่ากัน จากวันนั้นเขาก็ไม่ร้องไห้เรื่องนี้อีก
อีกเรื่องน้องจาร์เรียนเก่ง เล่นดนตรีได้ ร้องเพลงได้ ทำอาหารเก่ง ซึ่งเราไม่ได้เด่นอะไรเลย เรียนก็พอเอาตัวรอด แต่น้องจาร์ทำได้ดีทุกอย่าง ตอนที่เขาจะเรียนศิลป์ภาษาฝรั่งเศส เราแนะนำให้เรียนภาษาจีน เพราะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มาก เขาก็บอกว่าแม่อยากให้เขาเรียนตามใจแม่ หรือให้เรียนตามที่เขาอยากเรียน แล้วเขาจะคะแนนดีที่สุดมาให้ดู ซึ่งเขาก็ทำได้จริง
ตอนนี้เขาก็คืนดีกับพ่อแล้ว เพิ่งจะไม่กี่เดือนนี่เอง จากไม่คุยกันมาตั้งแต่อายุ 13 ปี เขาคิดได้เอง เขามาบอกอยากจะคุยกับพ่อ ไม่อยากเป็นคนบาป กตัญญูกับพ่อแม่เขาจะได้เจริญ
แล้วเมื่อก่อนน้องจาร์จะห้ามไม่ให้เราคบกับคนอื่น แต่ตอนนี้ก็มาบอกว่ามีผู้ชายมาจีบแม่หลายคนเขาขัดขวาง ซึ่งอาจจะมีหลายคนที่ดี ทุกครั้งแม่เลิกแม่ก็ร้องไห้ เขามาขอโทษ ต่อจากนี้อนุญาตให้มีใครสักคนมาช่วยเขาดูแลแม่
ที่บอกว่าเลี้ยงลูกแบบเพื่อน มันพูดง่ายนะ แต่เลี้ยงจริงๆ เลี้ยงยังไง แต่เราแม่ลูกเป็นทุกอย่างจริงๆ น้องจาร์ติดแม่ แต่ถามเขาเขาคงบอกไม่ติดหรอก แต่เราไปไหนด้วยกันตลอด มีอะไรเขาเล่าให้แม่ฟังหมด ไม่มีโกหก และเขาก็ขอแม่อย่าโกหกเขาด้วย”
แม่คือที่ปรึกษาชั้นเยี่ยม โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ
มาฟังน้องจาร์พูดถึงคุณแม่กันบ้าง
“คุณแม่อารมณ์ดี สนุกสนาน เฮฮา แต่ชอบถูกเอาเปรียบ ชอบเป็นฝ่ายยอมคนอื่นเสมอ ใจดีเกินไปจนไม่ค่อยทันคนอื่น ซึ่งเป็นจุดที่ผมห่วงแม่ที่สุด เพราะแทบครึ่งชีวิตผมเห็นแบบนี้มาตลอด สงสารแม่ รับรู้เองและมีที่แม่บ่นให้ฟังบ้าง
ที่ผ่านมาผมแทบช่วยอะไรไม่ได้ ผมยังเด็ก เป็นได้แค่ให้กำลังใจ แล้วที่เรียนเลือกกฎหมาย (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ก็คิดว่าในอนาคตจะทำให้เป็นคนมีเหตุมีผลมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ผมก็เป็นคนมีระบบความคิดดีขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น ช่วยแม่ดูพฤติกรรมคน ซึ่งต่อไปคงช่วยปกป้องแม่ได้เต็มที่”
ในส่วนของความใกล้ชิดกับคุณแม่ น้องจาร์เล่าว่า นอนกับคุณแม่และคุณตา ท่านยาย ทุกคืน
“ก็นอนในห้องเดียวกันมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ครับ ก็อยากขอแยกห้องนอน มีความอยากแยกตลอด แต่ขอท่านยายแล้วไม่ได้ ก็ต้องนอนกันต่อไป คุณแม่ก็ยังนอนเลย ก็ไม่มีเงื่อนไขว่าต้องนอนไปถึงเมื่อไร
เพื่อนรู้ก็โดนล้อครับ ไม่มีเหลือ โดนล้อมาทีก็อาย แต่ทำอะไรไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่นอนด้วยกันมันไม่ใช่สิ่งที่เราไม่สามารถทำให้ไม่ได้
ชีวิตวัยรุ่น คุยกับเพื่อนๆ ตอนตีสองตีสาม แต่ของผมเที่ยงคืนท่านยายโทรตามให้มานอน เที่ยงตรงโทรตามกินข้าว ซึ่งบางทีเราก็ต้องการอิสระบ้าง ทุกวันนี้นอนเล่นโทรศัพท์ใต้ผ้าห่ม เคยขอแยกห้องหลายรอบแล้วครับ ประท้วงหนักๆ ก็เคยมาแล้ว แต่ไม่ชนะ ก็ต้องนอนต่อไป
ส่วนกับคุณแม่เราคุยกันทุกเรื่อง มีอะไรจะปรึกษาตลอด เรื่องความรักคุณแม่ให้คำแนะนำดีที่สุด แม่สอนให้เป็นไปตามวัย ในวัยนี้ควรตั้งใจเรียน และควรให้เกียรติผู้หญิง แม่ไม่เคยห้ามเรื่องความรัก อกหักก็อย่าเครียดเยอะ ชีวิตเรายังมีโอกาสได้เจอใครอีกเยอะ และสามารถอกหักได้อีก
ส่วนความรักของแม่ ตอนนี้ผมก็คิดได้ หลังจากที่ผมอกหัก เลิกกับแฟน ก็ได้ข้อคิดหลายอย่าง คนเราวันนี้คุยกันดีๆ พรุ่งนี้อาจเลิกคุยกัน จะไปห้ามแม่ทำไม ก็ขอแม่ว่าถ้าแม่มีความรักให้อยู่ในส่วนของแม่กับผู้ชายคนนั้น อย่าล้ำเส้นอย่ามาอะไรกับผมเยอะ
ก็เป็นห่วงที่มีผู้ชายเข้ามาหาแม่ แต่ผมโตขึ้นก็รู้ว่าชีวิตคนเราสุดท้ายของชีวิตใครชีวิตมัน เราจะกีดกันเป็นของเราตลอดไม่ได้ เมื่อก่อนผมงอแงมาตลอด แต่พอผมมีความรักผมก็เริ่มเข้าใจ เรื่องพวกนี้ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
เรียกว่าเป็นคู่แม่ลูกที่เปิดใจคุยกันทุกเรื่องและรับฟังกันด้วยความรัก ความเข้าใจ ประคับประคองดูแลหัวใจกันอย่างดี