ซูเปอร์โพลชี้ระบบราชการอ่อนแอ ล่าช้า แก้วิกฤตชาติไม่ได้
ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจชี้ ประชาชน 97.1% มองหัวหน้าส่วนราชการลอยตัวเหนือปัญหา ขณะที่ 96.9% ชี้ระบบราชการอ่อนแอ ล่าช้า ไม่สามารถแก้วิกฤตชาติและของประชาชนได้ทันเวลา
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง เปลี่ยนประเทศ รื้อระบบราชการ ครั้งใหญ่ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 1,105 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 17 - 21 ส.ค. 64 สรุปผลได้ดังนี้
ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.1 ระบุหัวหน้าส่วนราชการ และ ผู้นำหน่วยในระบบราชการลอยตัวเหนือปัญหาเดือดร้อนของประชาชน เห็นแก่ตัว แก่งแย่งหวงตำแหน่ง เข้าไม่ถึงประชาชนอยู่บนหอคอยงาช้าง
ร้อยละ 96.9 ระบุ ระบบราชการมีความอ่อนแอ ล่าช้า ไม่สามารถแก้วิกฤตชาติและของประชาชนได้ทันเวลา ร้อยละ 96.8 ระบุ หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 เดือดร้อน เป็นทุกข์ เพราะติดขัดระบบราชการ ระเบียบกฎเกณฑ์ และการทำงานตามเวลาของพวกข้าราชการ
นอกจากนี้ ร้อยละ 96.6 ระบุ เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งจากเงินกู้และเงินช่วยเหลือประชาชน และร้อยละ 95.9 ระบุ ต้องการให้ นายกรัฐมนตรี จริงจังจริงใจ ถือธงนำโยกย้ายข้าราชการที่ไม่มีผลงานช่วยเหลือประชาชนไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.2 ต้องการให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง คนดี คนเก่ง คนกล้า ขึ้นเป็นผู้นำส่วนราชการทุกระดับมีเป้าหมายแก้วิกฤตโควิดและลดความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนได้ ในขณะที่ ร้อยละ 3.8 ไม่ต้องการ
ที่น่าสนใจ คือ ความต้องการให้เลือกตั้งผู้ว่าราชกากรุงเทพมหานครคนใหม่โดยเร่งด่วนมากถึงมากที่สุด จำแนกตามภูมิภาคผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.5 ของคนกรุงเทพมหานคร และเกินครึ่งหรือร้อยละ 55.5 ของคนต่างจังหวัด ต้องการให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่โดยเร่งด่วนมากถึงมากที่สุด
เมื่อสอบถามความต้องการเร่งด่วนของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.5 ต้องการให้ลงโทษผู้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม ร้อยละ 97.1 ต้องการข้าราชการที่ดีคือ ข้าราชการที่รับใช้ประชาชน รักประชาชน ช่วยเหลือประชาชนให้สุขและปลอดภัย
ร้อยละ 96.6 ต้องการให้เร่งแก้ปัญหา ทุจริตคอร์รัปชันในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 96.5 ต้องการให้ปรับแก้กฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคับ และเวลาทำงานที่ไม่เอื้อต่อการช่วยเหลือประชาชน และร้อยละ 90.9 ต้องการให้เร่งปรับระบบส่งคนต่างจังหวัดติดโควิดในกรุงเทพกลับภูมิลำเนาให้ครบวงจร
นายนพดล กล่าวว่า ในทุกภาวะวิกฤติของปัญหาชาติ กลไกหลักของรัฐในการแก้ปัญหาคือ “ระบบราชการ” ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นชัดขึ้นถึงความอ่อนแอของระบบราชการ ที่ยังมีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางสังคม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้เกิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมและความแตกต่างของคนในแต่ละรุ่นอายุซึ่งการก้าวไม่ทันและไม่สามารถตอบสนองความต้องการและความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนทั้งประเทศได้จึงเกิดปัญหาการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัย
ดังนั้น “การปรับเปลี่ยนหรือปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่” จึงเป็นความหวังของประชาชนที่สำคัญ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการบริหารโครงสร้างทางสังคมทั้งระบบ
ผลโพลยังสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยต้องแสดงความกล้าและจริงใจให้เห็นถึงการปรับย้ายครั้งใหญ่ ต.ค.64 นี้ พิจารณา คนดี คนเก่ง คนกล้าทำงานบนผลประโยชน์ของส่วนรวม เข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหารในทุกระดับ ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้มีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ปรับย้ายข้าราชการ กทม.และกระทรวงต่างๆที่เกียร์ว่า เอาประโยชน์ ไม่ตอบสนองการทำงานเพื่อประชาชนในทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เช่น กทม. มหาดไทย สาธารณสุข พาณิชย์ แรงงาน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เกษตรและสหกรณ์ ศึกษาธิการ รวมทั้งฝ่ายความมั่นคงทหารและตำรวจ
นอกจากนี้ต้องเร่งปฏิรูป ขับเคลื่อนแก้ไขกฎระเบียบที่ล้าสมัย เป็นเหตุของความล่าช้า ไม่สามารถตอบสนองความทุกข์ยากและความเป็นความตายของประชาชนได้ทันเวลา และที่สำคัญต้องลงโทษข้าราชการที่กระทำผิดอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อมิให้เป็นตัวอย่างของความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม