วิศวะจุฬาฯ ติดดาบรองรับตลาดอาเซียน
ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งกำหนดเปิดการค้าเสรีอาเซียนในปี 2558
โดย...ภัสรา จิกคำ
ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งกำหนดเปิดการค้าเสรีอาเซียนในปี 2558 ครอบคลุมกลุ่มอาชีพ 8 วิชาชีพ ซึ่ง “วิศวกร” ก็เป็นวิชาชีพหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีดังกล่าว
ดังนั้น เพื่อความพร้อมของวงการวิศวกรไทยที่จะก้าวสู่การเปิดเสรีในอีก 4 ปีข้างหน้า จึงจำเป็นต้องปรับตัวรับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น
บุญสม เลิศหิรัญวงศ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ภายหลังการเปิดการค้าเสรีอาเซียนจะทำให้วิศวกรสามารถเข้าทำงานในประเทศสมาชิกได้อย่างเสรี แต่สิ่งที่จะตามมามีทั้งวิกฤตและโอกาส โอกาส คือ ตลาดแรงงานจะกว้างขึ้น คนเก่งจะสามารถเลือกงานได้กว้างขึ้นในกลุ่มประเทศอาเซียน แต่ขณะเดียวกันก็มีวิกฤต คือ วิศวกรก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งเดิมมีเพียง 50 สถาบัน อาจจะมีเพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยๆ สถาบัน
ดังนั้น เมื่อปริมาณแรงงานและความต้องการแรงงานมีความแตกต่างกัน คนเก่งก็จะมีโอกาสเลือกตลาดแรงงานได้ แต่สำหรับคนที่อยู่ใต้ค่าเฉลี่ย ตลาดแรงงานก็จะเป็นผู้เลือกแรงงานที่จะเข้ามาทำงานเอง
บุญสม ระบุว่า ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตั้งเป้าหมายให้บัณฑิตที่จบไปได้อยู่ในระดับบน สามารถเลือกตลาดแรงงานเองได้ และมีโอกาสมากขึ้น ซึ่ง ณ วันนี้บัณฑิตจุฬาฯ ในประเทศไทยก็อยู่ในระดับบนอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มอาเซียน
...คือโจทย์ต่อไปที่ต้องทำ
บุญสม เสนอว่า หลักสูตรเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งขณะนี้ที่สหรัฐอเมริกามีหลักสูตรที่เรียกว่า ABET (Accreditation Board for Engineering and Technology) เป็นหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ได้รับการรับรองจากหลักสูตรนี้แล้ว คือ มาเลเซียและสิงคโปร์
สำหรับประเทศไทยยังไม่มีองค์กรที่เข้ามารับรอง เพราะยังไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง อีกทั้งหากต้องการให้มีการรับรองจาก ABET ก็จะต้องใช้เงินจำนวนมากในการดำเนินการเพื่อรับรองสถานภาพทุกปี
ทั้งนี้ เรื่องการปรับหลักสูตรเป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แต่ก็พบว่ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ อีกหน่วยงานที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบและดำเนินการเรื่องการรับรองหลักสูตร คือ สภาวิศวกร โดยต้องทำให้สภาวิศวกรเองได้รับการรับรองก่อน ซึ่งเรื่องนี้เคยได้เริ่มต้นดำเนินการไปแล้ว แต่เมื่อมีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาทำงานก็เกิดช่องว่าง และได้หยุดดำเนินการกระทั่งทุกวันนี้
ดังนั้น คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จึงใช้วิธีในการจับมือสร้างพันธมิตรกับประเทศต่างๆ เพื่อให้ประเทศต่างๆ ยอมรับ
ขณะเดียวกัน ก็ได้ปรับทุกหลักสูตร โดยในปีนี้มุ่งเน้นหลักสูตรที่มีผลลัพธ์การเรียนรู้ของนิสิต (Learning Outcome) ตามแบบ ABET เพราะบัณฑิตรุ่นนี้จะจบการศึกษาในปี 2558 ซึ่งตรงกับการเปิดการค้าเสรีอาเซียนพอดี
“หลักสูตรนี้จะสามารถตอบได้ว่านักศึกษาแต่ละชั้นปีสามารถทำอะไรได้บ้าง เนื้อหาในหลักสูตรจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เนื้อหาเกี่ยวกับวิชาชีพ (Hard Skill) และทักษะทั่วไป (Soft Skill) เนื้อหาวิชาชีพ คือ ความรู้ที่สอนในห้องเรียน ซึ่งมีความแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว แต่ทักษะทั่วไป คือ ส่วนที่สร้างความเป็นมนุษย์ให้ผู้เรียน เช่น ทักษะด้านการสื่อสาร เทคโนโลยีและวัฒนธรรมจะต้องมีการสอนเพิ่มเติม”
“เช่น นิสิตวิศวะ จุฬาฯ จะถูกฝึกด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยอย่างน้อยให้มีวิชาที่มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ มีห้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง โดยต้องลงให้ครบ 100 ชั่วโมง หรือมากกว่า และหากนิสิตสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษ (TOFEL) ได้ 550 คะแนนขึ้นไป ทางคณะก็จะออกค่าใช้จ่ายในการสอบให้ทั้งหมด” อาจารย์บุญสม ระบุ
นอกจากนี้ ด้านเทคโนโลยีคณะได้จัดให้ทุกวิชามีการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือเสนอโครงการรายงานผ่านระบบสารสนเทศ และมีการเน้นการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างประเทศ เพื่อให้รู้จักการทำงานของชาวต่างชาติผ่านการทำกิจกรรม โดยมีการจัดทำ AEC Passport สำหรับบันทึกสิ่งที่นิสิตได้เรียนรู้ในแต่ละชั้นปี
คณบดีวิศวะ จุฬาฯ ยืนยันว่า การก้าวเข้าสู่เวทีอาเซียนของบัณฑิต เรื่องเนื้อหาวิชาชีพไม่ด้อยกว่าประเทศอื่น เพราะมีรากฐานที่แข็งแกร่ง แต่ทักษะทั่วไปอาจจะยังด้อยอยู่บ้างในการนำเสนอหรือทักษะการสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตาม บัณฑิตที่จบไปจะมีใบรับรองจากคณะว่าบัณฑิตได้ผ่านการเรียนรู้อะไรมาบ้าง
“ความเป็นวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้รับการจัดอันดับโลกเป็นอันดับที่ 78 ซึ่งถือว่าเป็นที่ยอมรับ โดยในกลุ่มอาเซียนมีเพียงสิงคโปร์เท่านั้นที่อยู่อันดับเหนือกว่า” บุญสม ย้ำ
ทั้งนี้ หากมองภาพในอนาคต บุญสม ระบุว่า วิศวกรรมศาสตร์พื้นฐานอย่างเดียวอย่าง วิศวโยธา ไฟฟ้า ฯลฯ คงไปไม่รอด ต้องบูรณาการระหว่างศาสตร์ ต้องมีการลงลึกในหลายๆ ศาสตร์เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้น ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมต้องเกิดจากการแลกเปลี่ยน” ซึ่งขณะนี้คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มีสาขาวิศวกรรมชีวเวช ที่นำเอาความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์การแพทย์มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน
วิศวกรรมสาขานี้จะช่วยลดการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศได้มาก ดังนั้นเชื่อว่าภารกิจในอนาคต คือ การบูรณาการระหว่างศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น n