ทฤษฎีเป็ด..
เป็ด...นอกจากทานอร่อยและถือว่าเป็น “อาหารเป็นยา” ในครัวเครื่องต้นเกาหลีแล้ว
เป็ด...นอกจากทานอร่อยและถือว่าเป็น “อาหารเป็นยา” ในครัวเครื่องต้นเกาหลีแล้ว ไม้แกะสลักรูปเป็ดแมนดารินยังเป็นของขวัญวันแต่งงานตามประเพณีเกาหลีอีกด้วย เนื่องจากเป็ดคู่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่จะไม่พรากจากกัน เพราะในธรรมชาติ คนเกาหลีโบราณสังเกตเห็นว่าหากเป็ดตัวใดตัวหนึ่งตายไป อีกตัวก็จะตายตาม นอกจากนี้ยังหมายถึงการมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเท่ากับครอกลูกเป็ด ส่วนความสามารถพิเศษอื่น เช่น บินก็ได้ อยู่ในน้ำก็ได้ บนบกก็ได้ ทำให้เป็ดมีคุณค่ายิ่งในฐานะผู้สามารถไปได้ทั้งโลกมนุษย์ (อยู่บนดิน) โลกสวรรค์ (บินบนฟ้า) และนรก (โลกใต้น้ำ)
ส่วน “ทฤษฎีเป็ด” ในสายตาของคนเกาหลีนี่ เพิ่งเคยได้ยินค่ะ จะเพิ่งปิ๊งไอเดียนี้ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาความขัดแย้งบนคาบสมุทรปัจจุบันนี้รึเปล่าก็ไม่แน่ใจ โดยการยกเอาลักษณะทางธรรมชาติของเป็ดมาอธิบายการเตรียมพร้อมของเกาหลีใต้เองตอนที่โฆษกประจำทำเนียบ “ชองวาแด” ของประธานาธิบดี ปาร์กกึนเฮ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่เห็นรัฐบาลเงียบๆ ไม่ได้ออกข่าวการเตรียมพร้อมหรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ ไม่ใช่ว่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ไม่อยากให้ผู้คนแตกตื่น ที่จริงรัฐบาลได้มีการเตรียมการอยู่แล้วแน่นอนตาม “ทฤษฎีเป็ด” หรือ “โอริโรน ”
นั่นคือ จริงๆ แล้วรัฐบาลเตรียมการแบบไม่ให้ใครแตกตื่นเหมือนเป็ดที่กำลังลอยตัวอยู่ในน้ำ เวลาว่ายไปไหนก็ไม่มีคนเห็นขาและครีบเท้าที่ซึ่งกำลังพยายามพุ้ยตะกุยน้ำอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ว่ายไปได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องตีน้ำให้เสียงดังตูมตาม ทุกวันนี้ประธานคณะทำงานป้องกันชาติก็มีการประชุมกัน เช้า กลางวัน เย็น และสรุปสถานการณ์รายชั่วโมง จึงสามารถป้องกันและตอบโต้ได้ทันทีอยู่แล้ว ... โอ้ว...ไอเดียดีมาก อธิบายได้เห็นภาพ สมควรขอยืมไปให้บ้างค่ะ...ส่วนข้อสรุปของท่านโฆษก มีดังนี้ค่ะ คือ สิ่งที่เกาหลีเหนือข่มขู่รายวันนั้นเป็นแค่การสร้างข่าวให้ตื่นตระหนกกันเท่านั้น หากมีสงครามกันจริงละก็ เกาหลีเหนือจะต้องเสียหายมากกว่าเกาหลีใต้หลายสิบเท่าแน่นอน ดังนั้นขอประชาชนอย่าได้แตกตื่นไปเลย...
ที่จริงแล้วเรื่องนี้คนเกาหลีทั่วไปก็รู้สึกเหมือนกันๆ ค่ะ ว่าไม่ต้องเตรียมอะไรมากมาย จึงไม่มีการโกลาหลเตรียมซื้อข้าวของเสบียงกรังเผื่อฉุกเฉินเลย ในประเทศสถานการณ์สงบราบคาบเพราะเคยชินกับการขู่อย่างนี้มาเป็นระยะๆ นานถึง 60 ปีแล้ว และถึงแม้ว่าจะมีสงครามจริง ก็เป็นสงครามนิวเคลียร์ หมายความว่า ยิงกัน 3 วันจบ คนตายกันหมดเพราะนิวเคลียร์มันร้ายแรงไม่ยืดเยื้อ ลงลูกเดียวก็ตายหลายพันหลายหมื่น บาดเจ็บหลายแสน ดังนั้นเตรียมการไปก็ไร้ประโยชน์ ทำให้คนเกาหลีใต้ปลงตกกันเลยค่ะ
คนเกาหลีเขาก็รู้สึกสงสารชะตากรรมของประเทศตัวเองเหมือนกันค่ะ ไหนจะต้องแบ่งออกเป็นสองประเทศ ไหนจะต้องอยู่ในภาวะสงครามมาตลอดตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกประวัติศาสตร์หลายพันปี อาณาจักรต่างๆ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันได้รบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในคาบสมุทร ทำสงครามกันเองระหว่างเผ่าพันธุ์ยังไม่พอ เดี๋ยวจีนก็ยกทัพมาขู่ เดี๋ยวญี่ปุ่นก็ยกทัพมาตี ไม่เคยได้อยู่สงบสุขนานๆ เลย ... แต่เขาก็ยังมองโลกในแง่ดีนะคะ ว่า เพราะต้องตกอยู่ในวงล้อมสงครามมาตลอด จึงทำให้คนเกาหลีแกร่ง ขยัน อดทน และพ่วงความแข็งแรงบวกแข็งกร้าวมาด้วย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นลักษณะนิสัยประจำชาติไป...
เรื่องนี้เห็นได้ค่อนข้างชัดค่ะ ช่วงเวลา 60 ปี ที่ไม่ได้มีการต่อสู้กันแม้จะไม่สงบแต่ก็มีช่วงเวลาพักรบได้ยาวนานพอสมควร จึงทำให้หนุ่มสาวเกาหลีรุ่นใหม่อ่อนโยนนุ่มนวลกันมากขึ้น ไม่เหมือนรุ่นคุณลุงอายุ 55 - 65 ปี ที่เป็นเด็กหลังสงคราม ช่วงแรกที่ทำงานด้วยใหม่ๆ ปวดศีรษะทุกวันกับความโหด แต่เด็กๆ เกาหลีสมัยนี้ดูอย่างนักร้องชายเกาหลีหลายๆ คนสิคะ ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นหญิงไปกันหมดแล้วค่ะ...