ยามอาทิตย์อัสดง
วันแล้ววันเล่าที่ชายหนุ่มเฝ้ามองปรากฏการณ์รอบกาย ผลพวงของความเจริญ แห่งยุคสมัย มันช่างเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเหลือเกิน
โดย...พิเชษฐ์ ชูรักษ์
วันแล้ววันเล่าที่ชายหนุ่มเฝ้ามองปรากฏการณ์รอบกาย ผลพวงของความเจริญ แห่งยุคสมัย มันช่างเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเหลือเกิน
ที่ลึกไปมากกว่านั้น เขารู้สึกว่าโลกกำลังหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
เขาไม่ถึงกับหวาดกลัว ด้วยเป็นคนหลบซ่อนความแปลกแยกได้ดีอยู่แล้ว
แต่ที่ซ่อนลึกโดยไม่รู้ตัว อันตรายจากการไม่รู้จักตัวเอง เริ่มเข้าครอบงำเขาเมื่อไหร่ไม่รู้
แน่นอนที่สุด ใครๆ ก็บอกตัวเองในใจเสมอๆ เรามักรู้ตัวเองว่าทำอะไรลงไป...แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น ในบางครั้งการรับฟังอย่างตั้งใจจากคนรอบข้าง อาจเตือนสติเราได้
การจำศีลอยู่ในความเชื่อเดิมๆ ในโลกเดิมๆ มักทำให้การตัดสินใจผิดพลาด แต่ก็นั่นแหละ...ชายหนุ่มบอกว่า จะมีใครตัดสินใจได้ถูกเสมอไป แค่ทำในสิ่งที่ควรก็นับว่าดีมากแล้ว
โลกแปลกปลอมในมุมมองของคนยุคหนึ่ง...ทำร้ายจิตใจทั้งตัวเขาเองและคนที่เดินตามติดมาทีหลัง เกิดช่องว่างระหว่างวัยและยุคสมัย แยกความคิดออกเป็นสองขั้ว ชอบ...ชั่ว...ดี ถูกแบ่งออกจากกันหลายมาตรฐาน
การดำเนินชีวิตในวิชาชีพที่เขาเลือกในแต่ละวันเริ่มดูขลุกขลัก เงอะเงิ่น จะด้วยวัยหรือความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ภายในก็ตามที เขาอดคิดไม่ได้ว่า หรือตัวเขาเองไม่เหมาะกับหน้าที่การงานที่ทำอยู่
การจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ดูจะยิ่งทำให้ชีวิตลำบากมากกว่าเดิม หรือไม่ก็อาจจะสายเกินไปสำหรับชายวัยย่างเข้าเลขสี่
ชายหนุ่มแหงนมองต้นไม้ต้นเดิมที่ยืนเด่นสง่าอยู่ที่เก่า เขาเห็นความต่างก็ตรงความสูงและกิ่งก้านสาขาที่ดูรกครึ้มมากขึ้น
นั่นสิ...เขาคิด บางที เมื่อถอดใจเวลาออกจากร่างชั่วขณะ อวัยวะภายในหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ
เขาคิดในใจ ต้นไม้แหงนดูฟ้าทุกวัน อย่างไม่เบื่อหน่าย
โลกแห่งความเป็นจริงเตือนสติเขา...เราไม่อาจอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความเป็นส่วนตัวเป็นโลกสมมติ ลวงหลอกตัวเอง เราต่างจากไม้ยืนต้น ต้องปรับตัวตลอดเวลา
แต่เมื่อความเหงาโถมเข้าใส่ เขาต้องการใครสักคนเป็นเพื่อน เขาไม่อยากอยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มเคราดกเฟิ้มเกลียดอารมณ์ของตัวเองช่วงเวลานี้เป็นที่สุด
ไม่กี่วันต่อมา เขาชักชวนเพื่อนวัยไล่เลี่ยกันออกเดินทางไปค้นหาบางอย่าง
ทั้งสองตั้งคำถามถึงอดีตของกันและกัน กับวันเวลาที่เหลืออยู่...เขาแลกเปลี่ยนถึงอนาคตในอีกสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า หรือมากกว่านั้น
ทั้งสองเบื่อหน่ายปัจจุบัน และมองไม่เห็นอนาคตที่เหลือมากนัก จะด้วยวัย หรืออาจจะด้วยความเมื่อยล้าของร่างกาย ทำให้ทั้งคู่โรยราความคิด หน่ายต่อโลกที่ยุ่งเหยิง จะว่าไปเขาทั้งคู่อาจตกอยู่ในสภาวะที่ไม่แตกต่างจากคนวัยเดียวกัน
ใครสักคน...ตั้งคำถาม? แล้วเราจะอยู่ไปเพื่ออะไร อยู่เพื่อทำวันนี้ให้ดีต่อตัวเอง ต่อหน้าที่การงาน หรือต่อครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ...จะเลือกอย่างไหน
ชายคนแรก...แต่งกายมีสไตล์เฉพาะตัว เลือกมีชีวิตเพื่อเสพสุขไปเรื่อยๆ ชอบอะไรก็ลงมือทำ ไม่แคร์อะไร ไม่คิดมากกับชีวิต
ชายอีกคน...ดูไร้รสนิยม เขาคิดต่าง ด้วยมั่นใจว่าตัวเอง เป็นคุณูปการต่อสังคม แต่คนอื่นอาจมองไม่เห็น นั่นแหละเป็นที่มาของความท้อแท้ ทุกวันนี้เขาอยู่ไปวันๆ รอค่าตอบแทน รอวันพักร้อน และก็ใช้ร่างกายให้สิ้นเปลืองไปวันๆ เขาหดหู่ที่คนอื่นมักดูแคลน โดยไม่มีใครมาเข้าใจ
ณ จุดใคร่ครวญ เขาทั้งคู่ หัวเราะให้กัน ยิ้มเย้ยต่อใครๆ ที่ชอบถากถาง ใครเลยจะเข้าใจเขาทั้งคู่ได้มากกว่านี้อีก
หลายเดือนต่อมาเขาออกเดินทางไปยังจุดเดิม เปลี่ยนแปลงแค่วันเวลา แต่เรื่องราวบทสนทนาไม่ต่างไปจากเดิมนัก แม้ต่างครุ่นคิดกันมากขึ้น จะด้วยต้องการเลี่ยงความเบื่อหน่ายหรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ วันนั้นเขาทั้งคู่มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะสลับกันไปมาก้องขุนเขา
สถานที่ซึ่งห่างไกล ต้องใช้เวลาปีนป่ายหน้าผาชัน เมื่อถึงจุดนั้น มองไปไกลสุดขอบฟ้า ช่างเงียบสงบ วังเวง แต่สวยงามจับใจ
แต่หารู้ไม่...ก้นบึ้งหัวใจของชายทั้งสองสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าช่างพร่ามัวและรางเลือน
ทั้งคู่ประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อชายวัยย่างเลขหก ปีนไหล่เขาส่งใบหน้าเปื้อนยิ้มมาให้
“พวกคุณหาเจอกันหรือยัง” สองคนมองหน้ากันและกัน “หมายความว่าไงครับ”
ในทรรศนะผม “ถ้าสิ่งที่ผมทำในอดีตมันมีความสุขก็ไม่จำเป็นต้องหาที่ยืนอีก”... “ทุกสิ่งที่คุณทำ ต้องถามว่า มันใช่ความสุขหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไม่ต้องดิ้นรนหามันอีก”
ชายต่างวัยสนทนากันออกรสถึงชีวิตคนหนุ่มจนเย็นย่ำ แสงสุดท้ายของวันสาดก้อนเมฆทแยงฉาบขอบฟ้า เป็นสีที่สวยสุดของวันนั้น
ชายสูงวัยมองสองหนุ่มลัดเลาะลงไหล่เขาในยามอัสดง
เขาคิดในใจ...ณ จุดใคร่ครวญแห่งนี้ต้องปลอดภัยจากการไม่รู้จักตัวเอง ขอบฟ้าเบื้องหน้าหาสวยงามไม่
มันคือ อัสดงของชีวิตที่มีขึ้นได้ทุกวัน