"กิตติพงษ์ ณ ระนอง"ผู้ไม่ยอมก้มหัวให้อธรรม

19 พฤศจิกายน 2556

กิตติรัตน์ ณ ระนอง มีพี่ชายร่วมบิดามารดาเดียวกันผู้หนึ่งชื่อ กิตติพงษ์ ณ ระนอง ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงทริโปลิ รัฐลิเบีย

โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

หลังจากคนในตระกูล "ณ ระนอง" ลูกหลานของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ประกาศบนเวทีชุมนุมที่ราชดำเนินว่า ขอตัดญาติขาดมิตรกับ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยเหตุผลที่ว่า

“รู้สึกเสียใจแทนคนต้นตระกูล ที่มีแต่คนทำประโยชน์เพื่อประเทศมาตลอด แต่กลับมีลูกหลานคนหนึ่งรับใช้ระบอบทักษิณ ที่ผ่านมาพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง ณ ระนอง) อดีตผู้ว่าราชการเมืองระนองได้ทำคุณงามความดีมาตลอด ไม่มีใครทรยศต่อประเทศชาติ มีเพียงคนเดียวคือนายกิตติรัตน์ ที่ทำเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล จึงไม่อยากนับญาติด้วย”

จึงมีเสียงเซ็งแซ่อย่างกว้างขวางในสังคมอยากรู้ว่า กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นใครมาจากไหน และพี่น้องร่วมบิดามารดาเป็นใครประกอบสัมมาอาชีพอย่างไร

กิตติรัตน์ ณ ระนอง มีพี่ชายร่วมบิดามารดาเดียวกันผู้หนึ่งชื่อ กิตติพงษ์ ณ ระนอง ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงทริโปลิ ประเทศลิเบีย ในปัจจุบัน

กิตติพงษ์ ณ ระนอง เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นบุตรชายของ นายเก่ง และนางวิลัดดา ณ ระนอง นายเก่ง ณ ระนอง เป็นหลานปู่ของ คอยู่สอง ณ ระนอง บุตรชายคนหนึ่งของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง ณ ระนอง) ซึ่งเป็นบุตรชายคนที่ 2 ของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ผู้เป็นต้นตระกูล ณ ระนอง

กิตติพงษ์ ณ ระนอง เกิดเมื่อปี 2499 ที่กรุงเทพ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบ Master of Arts in Law and Diplomacy, Fletcher School of Law and Diplomacy, Tufts University

เข้ารับราชการครั้งแรก ในปี 2526 ที่กองวิทยุกระจายเสียง กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ปี 2530 เป็นเลขานุการโท เลขานุการเอก คณะทูตถาวร ณ นครเจนีวา ปี 2534 เป็นเลขานุการกรมสารนิเทศ และหัวหน้าฝ่ายเวียดนาม กองเอเชียตะวันออก 1 กรมเอเชียตะวันออก ในปี 2536 เป็นหัวหน้าฝ่ายพม่าและฝ่ายมาเลเซีย กองเอเชียตะวันออก 2 อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออก 2 กรมเอเชียตะวันออก เป็นรองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ในปี 2543 เป็นรองอธิบดีกรมอาเซียน ในปี 2545 เป็นอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ปี 2546 เป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในปี 2549 แล้วเป็นอธิบดีกรมเอเชียตะวันออกเพียงปี ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเอกอัตรทูต ณ กรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา

กิตติพงษ์ ณ ระนอง เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญไม่เคยอ่อนข้อให้กับอำนาจการเมืองใด ๆ มีเกียรติยศศักดิ์ศรี มีความภาคภูมิใจในชาติเชื้อวงศ์ตระกูล ดำรงตนเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเวียตนาม กิตติพงษ์เป็นเอกอัครราชทูตเพียงผู้เดียวที่มีความกล้าหาญออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช

ต่อมาเมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มี กิตติรัตน์ ณ ระนองเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กิตติพงษ์ ณ ระนอง ก็ถูกคำสั่งย้ายจากเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำเกาหลีใต้

เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปิดประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำด้วยงบประมาณมหาศาล ก่อนที่จะได้บริษัท เค วอเตอร์ เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมดำเนินการนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เคยเดินทางไปศึกษาดูงานและเจรจาเรื่องน้ำที่เกาหลีให้ 2-3 ครั้ง และไม่ประทับใจในการต้อนรับของเอกอัครราชทูต กิตติพงษ์ ณ ระนอง ที่มิได้ให้ความสำคัญกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อมากระทรวงการต่างประเทศ โดย สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีต่างประเทศ จึงมีคำสั่งย้าย กิตติพงษ์ ณ ระนอง พี่ชายของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีการคลัง จากเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงทริโปลิ ประเทศลิเบีย

สิ่งที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ต้องการจะช่วยพี่ชายก็คือ ได้ขอให้พี่ชายไปกราบขอโทษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่ กิตติพงษ์ ณ ระนอง ตอบปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ทำไมต้องไปขอโทษ เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะไปอยู่ที่ไหนก็ทำประโยชน์ให้กับแผ่นดินได้ ที่สำคัญต้องจำไว้ว่า คนในตระกูล ณ ระนอง ภาคภูมิใจในคุณงามความดีของบรรพบุรุษและไม่เคยก้มหัวให้กับอธรรม

นี่คือความแตกต่างระหว่างพี่ชายและน้องชายที่ส่งผลถึงอนาคตข้างหน้าที่ต่างกัน