"ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์"...มหาเศรษฐีหัวใจติดดิน
ชีวิตที่ใฝ่ดีของ"ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" จากลูกพ่อค้าขายกระเพาะปลาสู่มหาเศรษฐีใจบุญ
เรื่อง....อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ...ภัทรชัย ปรีชาพานิช
ยามเย็นบนถนนพหลโยธินอันแสนวุ่นวาย ฝนทำท่าจะตก รถก็ติด แต่สูงขึ้นไปบนชั้น 28 ของอาคารเอสเอ็มทาวเวอร์ "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท กำลังนั่งเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา
คนส่วนใหญ่รู้จักชายวัย 59 ผู้นี้ในฐานะมหาเศรษฐีหมื่นล้าน เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรรายใหญ่ นักเล่นหุ้นมือฉมัง พ่อพระผู้ใจดีที่ช่วยเหลือทุนการศึกษาแก่เด็กๆผู้ด้อยโอกาส
สักกี่คนจะรู้ว่าชีวิตเขาเริ่มต้นจากศูนย์ ลูกพ่อค้าขายกระเพาะปลา เรียนจบแค่ป.4ก็ต้องออกมาทำงานช่วยครอบครัว แต่ด้วยความใฝ่ดีจึงขวนขวายร่ำเรียนจนจบปริญญา ไต่เต้าจากมนุษย์เงินเดือน ขยับเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ เผชิญวิกฤตจนเกือบล้มละลายหลายครั้ง ก่อนก้าวขึ้นสู่ทำเนียบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย
ไม่ง่ายเลย สำหรับลูกผู้ชายที่ใช้พรแสวงพาตัวเองมาถึงจุดสูงสุดของชีวิต
ลูกพ่อค้ากระเพาะปลา
ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เกิดเมื่อ 8 ก.ค.2500 ที่ชลบุรี เป็นลูกคนที่ 5 จากทั้งหมด 7 คน พ่อหาบกระเพาะปลาขาย แม่ทำสวนผัก คุ้นเคยกับความจนเหมือนเพื่อนที่โตมาด้วยกัน เขาบอกว่า พ่อคือต้นแบบในการดำเนินชีวิต
"ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพ่อหาบถังใส่กระเพาะปลาออกไปขายถ้วยละ 50 สตางค์ เที่ยงวันยันเที่ยงคืน พ่อเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาก ที่จำได้แม่นคือ พ่อไม่เอารัดเอาเปรียบใคร คิดแต่อยากจะให้ของดีแก่ลูกค้า เวลามีงานวัดจะไปซื้อกระเพาะปลาจากเยาวราชมาทำ ทั้งที่เอาหนังหมูมาทำเหมือนเจ้าอื่นก็ได้ แต่ไม่ทำ แถมยังขายในราคา 50 สตางค์เท่าเดิม พ่อยังเป็นคนใจบุญ ถึงรายได้จะน้อยต้องเลี้ยงลูก 7 คน แต่พอมีเงินเหลือก็มักจะนำไปบริจาคที่โรงเจ ทุกอย่างที่พ่อทำสอนใจผมมาจนทุกวันนี้"
เรียนแค่ชั้นป.4 ก็ต้องลาออกกลางคัน เพราะทางบ้านไม่มีเงินส่ง ด.ช.ทองมาในวัย 12 จึงไปเป็นลูกจ้างร้านขายยา ขายน้ำเก๊กฮวย น้ำจับเลี้ยง และลูกมือในร้านทอง ระหว่างนั้นดิ้นรนส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ จนสอบเทียบจนจบมัธยมต้น ก่อนสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเอ็นทรานซ์ติดที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาการโยธา
"ช่วงนั้นทำงานหกโมงเช้าเลิกหกโมงเย็น เสร็จก็ไปเรียนต่อถึงสามทุ่ม ไม่รู้สึกว่าหนักหนาอะไร กลับคิดว่าอยากจะดิ้นรนมากๆเพื่อให้ชีวิตดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ การศึกษาเป็นช่องทางเดียวในเวลานั้นที่จะทำให้เรามีชีวิตดีขึ้นได้ในอนาคต เป็นที่ยอมรับในสังคม ถ้าผมไม่เรียนหนังสือก็คงต้องไปเป็นจับกัง"
ปลูกบ้านในใจคน
ทองมาเริ่มต้นอาชีพวิศวกรที่บริษัทพี.ซี.เอ็ม (ประเทศไทย) ก่อนจะย้ายไปอยู่บริษัทในเครือหจก.วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง ต่อมาราวปี 2527 ตัดสินใจทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในยุคเฟื่องฟู ด้วยความที่เป็นวิศวกรมาก่อน รู้ละเอียดทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่ประเมินราคา ควบคุมราคา ยันคัดเลือกทำเลที่ดิน ทำให้พัฒนารูปแบบการสร้างบ้านได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูง จนได้รับความไว้วางใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่หลายเจ้าให้ควบคุมโครงการใหญ่ๆ เช่น โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ไซโลโรงปูนของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง ดิโอลด์สยามพลาซ่า เป็นต้น
ประสบการณ์ช่วงนั้นเป็นรากฐานสำคัญที่มีส่วนช่วยทำให้พฤกษาเรียลเอสเตทประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา ทั้งยังทำให้ชื่อของทองมาได้รับการยอมรับจากคนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ว่าเป็น ‘มือชั้นเซียนด้านบริหารที่ดิน’
"ยอมรับว่าไม่เคยคิดอยากรวย แค่อยากมีเงินไว้จุนเจือครอบครัว สมัยเป็นวิศวกรเงินเดือนไม่ค่อยเหลือ เราตัวคนเดียวพออยู่รอดได้ แต่จะให้คนอื่นมาพึ่งพายังยาก เลยคิดว่าออกมาทำส่วนตัวดีกว่า โอกาสสำเร็จมีเยอะ เรียกว่าไม่สำเร็จก็ยังเสมอตัว ถ้ามีเงินมากขึ้นก็จะเอาไปช่วยพี่ๆน้องๆได้มากขึ้น ตอนนั้นเก็บเงิน 8 ปีได้มาเกือบ 50 ล้าน เลยเอามาลงทุนทำบ้านจัดสรร เพราะขณะนั้นความต้องการของตลาดมีสูง"
ปี 2536 บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้น ภายใต้จุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาบ้านคุณภาพดี ราคาไม่แพง
“ชื่อ ‘พฤกษา’ หมายถึงต้นไม้ ร่มรื่น หัวใจสำคัญของการทำบ้านให้คนอื่นอยู่มาจากใจที่อยากให้สิ่งที่ดีๆ อยากจะให้ลูกค้ามีบ้านเป็นของตัวเอง เป็นบ้านที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ ที่สำคัญต้องคุณภาพดี เดี๋ยวนี้เวลาบ้านที่เราสร้างมีปัญหา มีข้อบกพร่อง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยปัจจัยการผลิตเราไม่สามารถไปควบคุมให้มันเนี๊ยบร้อยเปอร์เซนต์ได้ เราต้องรับผิดชอบ ต้องรีบไปแก้ให้เขา เมื่อมีตำหนิเกิดขึ้นเขาไม่สบายใจ ก็เหมือนกับเราซื้อเสื้อมาถ้าตรวจเจอตะเข็บเย็บไม่ดี เราก็ไม่สบายใจ"
นักธุรกิจหมื่นล้านวัย 59 รายนี้ ย้ำว่า ความมุ่งมั่น ซื่อตรง และรับผิดชอบเป็นเครดิตที่ติดตัวมาตลอดชีวิต
ฝ่าวิกฤตได้ด้วยธรรมะ
ชั่วชีวิตของทองมาต้องเผชิญกับวิกฤตหลายครั้ง ไล่ตั้งแต่ฟองสบู่แตกปี 2540 น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองในห้วงสิบปีที่ผ่านมา
ทว่าเคล็ดลับที่ทำให้เขาเอาตัวรอดมาได้ นั่นคือ ธรรมะ
"ช่วงทำธุรกิจรับเหมาเจอปัญหายุ่งยากมากมาย เป็นธรรมดาของงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนเยอะๆ ทั้งเจ้าของงาน ผู้ควบคุม คนงาน ต้องทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ทุกคนพึงพอใจ ให้ได้เงินมาจ่ายทุกคนตรงเวลา ไหนจะเจอด่าเจอตำหนิ บวกกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอีก ถ้ารับมือไม่ได้ก็ทุกข์ ผมต้องพึ่งยานอนหลับอยู่เป็นปีๆ ตอนหลังพอมีธรรมะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาก็ทำให้อารมณ์สงบ มีสมาธิ มีปัญญาค่อยๆคิดแก้ปัญหา ประคับประคองไปทีละเรื่อง วันนี้คิดไม่ออก พรุ่งนี้เดี๋ยวก็คิดออก"
ทองมา เผยว่า หลักธรรม “มรรค 8” คือกุญแจที่นำไปสู่ความสุขในชีวิตและความสำเร็จทางธุรกิจ
“หลักธรรมมรรค 8 คือศีล สมาธิ ปัญญา ประกอบด้วยหลักศีล ได้แก่ กายชอบ วาจาชอบ และใจชอบ หลักสมาธิ ได้แก่ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และหลักปัญญา ได้แก่ ดำริชอบ เพียรพิจารณาชอบ และรู้แจ้งชอบ
หลักธรรมทั้งหมดนี้ ผมนำมาปรับใช้กับการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น กายชอบ วาจาชอบ ใจชอบ ด้วยการไม่เบียดเบียนเอาของคุณภาพไม่ดีมาให้ลูกค้า มีใจรักเมตตาอยากจะสร้างบ้านดีๆ บ้านยังไงให้มีคุณภาพแข็งแรง และหาทางพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆในอนาคต ส่วนการนำมาปรับใช้กับชีวิตคือ การคิดดี พูดดี ทำดี มุ่งประโยชน์ส่วนรวม อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นก็จะทำ อะไรไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ทำ”
ความสุขในวัย(ใกล้)เกษียณ
ปีที่แล้ว นิตยสารฟอร์บส์ไทยแลนด์ ได้จัดอันดับ 30 เศรษฐีไทย ปี 2557 ชื่อของทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ ถูกจัดไว้ในลำดับที่ 14 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 45,633 ล้านบาท ขณะที่ วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทย ปี 2557 โดยทองมาเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 มีมูลค่าหุ้น PS ที่ถือครองในสัดส่วน 54.59% รวมมูลค่า 41,579.50 ล้านบาท
แต่ดูเหมือนว่ามหาเศรษฐีผู้นี้จะยังคงมีความสุขอยู่กับการใช้ชีวิตเรียบง่าย ติดดิน ไม่หวือหวา
"ตอนนี้หมกมุ่นกับงานน้อยลง ให้ลูกน้องทำแทน (หัวเราะ) ต้องมาคิดถึงความยั่งยืนโดยให้ลูกน้องเป็นคนทำ เราก็ถ่ายทอดองค์ความรู้ไปให้เขาเป็นผู้บริหาร เพื่อให้บริษัทพัฒนาไปข้างหน้า โดยที่ถ้าเราไม่มีชีวิตอยู่ก็ยังดำเนินต่อไปได้ วันหยุดก็ไปช่วยคนสวนปลูกผักปลูกต้นไม้ ตีเทนนิส การออกกำลังกายทำให้ร่างกายไม่ทรุดเร็วเกินไป ผมใช้ชีวิตไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่ก็ไม่ถึงกับมัธยัสถ์ ยังพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้งสองครั้ง ไปงานเลี้ยงตามแต่เขาจะเชิญ ไม่ได้รู้สึกอยากกินอาหารแพงๆ ส่วนมากจะได้กินเพราะเขาเชิญมากกว่า"ชายวัยใกล้เกษียณหัวเราะอารมณ์ดี
ความสุขในวันนี้คือ ความภาคภูมิใจที่ชีวิตของตัวเองสามารถเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อื่นได้ รวมทั้งการทำประโยชน์ให้แก่คนรอบข้างและสังคม จนได้รับยกย่องจากนิตยสารฟอร์บส์ให้เป็น “วีรบุรุษใจบุญ” (Heroes of Philanthropy) หลังจากบริจาคเงินมากกว่า 660,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อโรงพยาบาล องค์กรด้านศาสนา และสถานศึกษา ทั้งในนามส่วนตัวและในนามกองทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์
"ทุกวันนี้มีแต่คิดว่าทำยังไงที่จะเกิดประโยชน์ต่อพนักงาน สังคม และลูกค้า ถามว่าทำไมเราถึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่เติบโตมันทำให้เกิดประโยชน์ บางคนถามว่าบางปีเติบโต 20 % เพราะคุณทองมาอยากรวยเพิ่มขึ้นใช่ไหม มันไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือการที่เราขายโครงการได้ อย่างน้อยพนักงานได้โบนัสเพิ่ม ถ้าไม่เติบโตสิ่งเหล่านี้ก็จะลดลง การเติบโตยังทำให้คู่ค้าก็ขายของได้มากขึ้น ผู้รับเหมาช่วงก็มีงานกับเราเรื่อยๆ ลูกค้าที่ซื้อบ้านก็ได้บ้านที่เราพัฒนาคุณภาพบริการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลาโดยไม่ท้อถอย"