ภาพในใจ
ว่ากันว่าใครขับรถแล้วไม่มีกล้องติดรถดูจะเสียเปรียบผู้อื่นตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปนั่ง...
โดย...ณศักต์ อัจจิมาธร
ว่ากันว่าใครขับรถแล้วไม่มีกล้องติดรถดูจะเสียเปรียบผู้อื่นตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปนั่ง...
เพราะยุคนี้ภาพจากกล้องติดด้านหน้ารถยนต์ที่บันทึกการเดินทางของรถยนต์คันนั้นระหว่างอยู่บนถนนตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายเป็นหลักฐานชั้นดีที่จะยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและคู่กรณีว่าใครเป็นฝ่ายผิด ใครเป็นฝ่ายถูก หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น
นอกจากนี้ ภาพจากกล้องติดหน้ารถก็สะท้อนพฤติกรรมการขับรถอันเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุของผู้คนจำนวนไม่น้อยบนท้องถนนออกมาให้เห็น ทั้งขับเร็วปาดซ้ายปาดขวา ปาดหน้ากระชั้นชิด เปลี่ยนเลนโดยไม่ระวังรถที่ขับตามมา เดินข้ามถนนใต้สะพานลอย จนถึงเจ้าของรถสองคันที่ลงจากรถมาเปิดฉากวางมวยเพราะเกิดกระทบกระทั่งกันบนถนน เหตุการณ์เหล่านี้มีให้เห็นเป็นคลิปที่ถูกโพสต์บนโลกออนไลน์เสมอๆ
ทว่าอีกด้าน กล้องติดรถก็ดูจะเป็นอาวุธสำคัญในการทำร้ายผู้อื่นของคนจำนวนหนึ่ง
เพราะคลิปหลายคลิปที่บันทึกโดยกล้องติดรถและถูกนำไปโพสต์บนโลกออนไลน์นั้นก็เป็นไปในลักษณะ “ประจาน” เพื่อให้คนในสังคมออนไลน์รุมด่าผู้ที่ถูกบันทึกภาพในคลิป
หลายเหตุการณ์เป็นเพียงความไม่พอใจส่วนตัวของเจ้าของรถที่ติดกล้องต่อเพื่อนร่วมถนนคันอื่น หรือไม่ก็ตัดตอนเอาเฉพาะช่วงที่เห็นว่าได้เปรียบหรือเป็นฝ่ายถูก นำมาโพสต์ในสังคมออนไลน์เพื่อให้ผู้คนในโลกออนไลน์รุมสกรัม
หากกล้องติดรถเป็นอาวุธของคนบางจำพวกในการทำร้ายเพื่อนร่วมถนน กล้องบนโทรศัพท์มือถือก็คงมีอานุภาพไม่ต่างกัน
หลายสัปดาห์ก่อน ผู้เช่าห้องในคอนโดมิเนียมที่ผมอาศัยอยู่ ถ่ายคลิปพนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้าทางเข้าขณะกำลังอธิบายเรื่องค่าจอดรถภายในคอนโดมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมกับระบุข้อความว่า คอนโดคิดค่าจอดรถสูงมาก
ผู้โพสต์ระบุข้อความด้วยว่า เข้าใจผิดเรื่องการคิดอัตราค่าจอดรถ และอธิบายให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าใจ แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยืนยันที่จะเก็บค่าจอดรถในอัตราที่เกิดขึ้น
ผลที่ได้คือมีผู้คนในเฟซบุ๊กทั้งที่เป็นเพื่อนและไม่ใช่เพื่อนของผู้ถ่ายคลิปเข้ามาร่วมรุมสกรัมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้นั้นด้วยคำพูดอย่างสนุกปาก
ทั้งที่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ ผู้เช่ารายนี้ไม่ได้ทำความเข้าใจระเบียบการจอดรถแบบชั่วคราวให้ชัดเจน และจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานานจนถูกคิดค่าบริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่จอด จนสุดท้ายก็ออกมาเป็นค่าจอดรถที่สูงมาก
ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็จำเป็นต้องทำตามหน้าที่ด้วยการเก็บค่าบริการตามอัตราที่เกิดขึ้น เพราะหน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ ระเบียบก็ต้องเป็นระเบียบ หากไร้ระเบียบการอาศัยร่วมกันของคนจำนวนมากในคอนโดคงเกิดความโกลาหลขึ้นอย่างแน่นอน
หลังเหตุการณ์เกิดขึ้นผมพบว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ถูกถ่ายคลิปไปโพสต์หายหน้าไปเป็นเวลานานก่อนจะกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าเขาได้เห็นภาพของตัวเองที่ปรากฏอยู่บนโลกออนไลน์ไหม เขาได้เห็นสารพัดคำด่าทอของผู้คนที่เขาไม่เคยรู้จัก และคนเหล่านั้นก็ไม่ได้รู้จักเขา แต่กลับมาด่าเขาด้วยถ้อยคำเสียๆ หายๆ บ้างไหม แต่ที่ผมรู้คือ เขาไม่มีโอกาสที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในมุมของเขาให้กับผู้คนที่รุมด่าได้ฟัง
หากผมเป็นเขา ผมคงรู้สึกเจ็บไม่น้อยกับการที่พยายามทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ตามที่ได้รับมอบหมาย แต่กลับถูกผู้คนที่ไม่เคยรู้จักมาด่าอย่างรุนแรง
เมื่อมีกล้องอยู่ในมือ ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ดูจะมีความมั่นใจสูงขึ้นหลายเท่าในการปะทะกับผู้อื่น วันนี้ใครโพสต์คลิปก่อนก็อาจถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่จะทำให้ “ชาวเน็ต” มาช่วยรุมประณามคู่กรณีได้อย่างไม่ยากนัก
หลายคนบอกว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในยุคนี้ก็คือ “มนุษย์กล้อง” ที่ถ่ายภาพการกระทำของผู้คนที่มนุษย์กล้องเหล่านี้เห็นแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกใจมาโพสต์ในสังคมออนไลน์พร้อมด้วยคำอธิบายประกอบที่ชวนให้ผู้คนที่นิยมใช้คีย์บอร์ดสกรัมผู้อื่นมารุมบรรเลงถ้อยคำแรงๆ ใส่ผู้ที่ปรากฏอยู่ในภาพ
ทั้งที่ความเป็นจริงการกระทำของผู้ที่อยู่ในภาพอาจเป็นเพียงการกระทำตามปกติทั่วไป หรือเป็นเพียงบางจังหวะที่เกิดผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเท่านั้น
“ถ่ายก่อนได้เปรียบ” อาจเป็นสิ่งที่ดีในแง่ของการบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อยืนยันความผิด-ถูก แต่หากเอาแต่ถ่ายสิ่งรอบตัวมาโพสต์บนโลกออนไลน์เพียงเพราะว่ารู้สึกไม่พอใจ ไม่ชอบใจ จนลืมถ่ายภาพภายในใจของเราออกมาดูว่าจิตใจของเราสูงขึ้นหรือตกต่ำลงอย่างไร ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าจะดีต่อตัวเรา