posttoday

ทัพเรือส่งเครื่องผลักดันน้ำช่วยผู้ประสบอุทกภัยที่เพชรบุรี

06 พฤศจิกายน 2559

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ จัดเรือผลักดันน้ำจำนวน 20 ลำ และกำลังพลเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเพชรบุรี

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ จัดเรือผลักดันน้ำจำนวน 20 ลำ และกำลังพลเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเพชรบุรี

นาวาเอก พาสุกรี วิลัยรักษ์ ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ กล่าวว่า ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ จะลำเลียงเรือผลักดันน้ำจำนวน 20 ลำ และกำลังพลขึ้นรถบรรทุก เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเพชรบุรี

ต่อมาเมืีอเวลา 08.30 น.ได้ทำการปล่อยขบวนรถบรรทุกชานต่ำ 4 คัน และรถบรรทุกใหญ่ 6 คัน ขนเรือผลักดันน้ำจำนวน 20 ลำ พร้อมอุปกรณ์ และกำลังพลช่วยผู้ประสบภัยจากอู่ป้อมพระจุลจอมเกล้า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เดินทางเข้าพื้นที่ในอำเภอเมืองและอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี โดยจะนำเรือผลักดันน้ำไปช่วยผลักดันน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีลงสู่ทะเลจนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลาย

สำหรับความเป็นมาของเรือผลักดันน้ำ สืบเนื่องมาจาก ในดือนสิงหาคม 2538 กรุงเทพมหานคร ประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้น ด้วยพระเมตตาที่ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรที่ต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมเป็นประจำ จึงทรงมีพระราชดำริว่า ทหารเรือมีรถสายพานลำเลียงพลสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก (AAV) และเรือลาดตระเวนลำน้ำ (PBR) ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ วอเตอร์เจ็ต จะช่วยเร่งน้ำให้ไหลเร็วขึ้นจะทำให้น้ำไหลไปสถานีสูบน้ำที่ปลายคลองต่างๆ ได้ปริมาณมากขึ้น ผู้บัญชาการทหารเรือในสมัยนั้น จึงสนองพระราชดำริ โดยสั่งการให้หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน นำรถสะเทินน้ำสะเทินบก จำนวน 2 คัน ไปช่วยเหลือผลักดันน้ำในวันที่ 12 ตุลาคม 2538 และปฏิบัติภารกิจผลักดันน้ำตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ ผลจากการผลักดันน้ำของกองทัพเรือในครั้งนั้น ได้ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ต่อเนื่องถึงปี พ.ศ.2541 ตามพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ผ่านมูลนิธิชัยพัฒนา ให้กรมอู่ทหารเรือซึ่งเป็นหน่วยหลักในการซ่อมสร้างเรือของกองทัพเรือ ดำเนินการออกแบบและสร้างเรือผลักดันน้ำชุดแรกขึ้นทั้งหมด 9 ลำ เมื่อแล้วเสร็จกองทัพเรือได้นำขึ้นทูลเกล้าถวายผ่านมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งปัจจุบันเรือชุดดังกล่าวกรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบดูแลใช้งาน

ทัพเรือส่งเครื่องผลักดันน้ำช่วยผู้ประสบอุทกภัยที่เพชรบุรี

ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2554 รัฐบาลได้มีหนังสือถึงกรมอู่ทหารเรือ แต่งตั้งให้ นาวาเอก สมัย ใจอินทร์ โฆษกกรมอู่ทหารเรือ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น ปัจจุบัน ได้รับพระราชทานยศพลเรือตรี) เข้าเป็นคณะทำงานบริหารจัดการระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรง โดยพลเรือตรี สมัย เปิดเผยว่า เรื่องเรือผลักดันน้ำนั้น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำหลากมาตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งแนวความคิดนี้ ปัจจุบันกรมชลประทานได้นำไปดัดแปลงระบบ เพื่อใช้แก้ไขปัญหาระบบน้ำทั่วประเทศ และวันนี้ก็ได้นำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร

จากองค์ความรู้ ในการสร้างเรือผลักดันน้ำ ที่คงมีอยู่ทำให้ กองทัพเรือ โดยอู่ทหารเรือธนบุรี อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า และอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช ระดมสรรพกำลังสร้างเรือผลักดันน้ำขึ้นใหม่เพื่อให้ทันต่อการนำไปใช้ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ในปี2554 ทั้งยังสนองต่อพระราชดำริแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการนำอุปกรณ์ เครื่องยนต์ที่มีอยู่เดิมมาผลิตและพัฒนาขึ้นใหม่เป็น 3 ขนาด คือขนาด 329 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 150,000 ลูกบาศก์เมตรขนาด 220 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 100,000 ลูกบาศก์เมตรและขนาด 120 แรงม้า ผลักดันน้ำได้ 30,000 ลูกบาศก์เมตร

อย่างไรก็ตาม เรือผลักดันน้ำนับว่าเป็นประโยชน์ต่อการระบายน้ำเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการระบายน้ำออกสู่ทะเลได้ครั้งละปริมาณมาก อีกทั้งยังสามารถชะล้างไล่ดินเลนที่ตกตะกอนอยู่ก้นแอ่งให้หมดไป ทำให้น้ำไหลได้สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่เป็นแอ่ง เป็นบึงและคอขวด เนื่องจากเป็นที่ลุ่มระบายน้ำออกได้ลำบากและไหลได้ไม่เร็ว