สธ.เผยคนไทยอายุเกิน40เสี่ยงเป็นต้อหิน 1.2 ล้านคน

13 มีนาคม 2560

ปลัด.สาธารณสุข คาด อนาคตคนไทยอายุ 40 ขึ้น เสี่ยงเป็นโรคต้อหิน 1.2 ล้านคน หลังผลสำรวจสากลชี้ปี 63 ผู้ป่วยทั้งโลกอาจถึง 76 ล้านคน

ปลัด.สาธารณสุข คาด อนาคตคนไทยอายุ 40 ขึ้น เสี่ยงเป็นโรคต้อหิน 1.2 ล้านคน หลังผลสำรวจสากลชี้ปี 63 ผู้ป่วยทั้งโลกอาจถึง 76 ล้านคน

เมื่อวันที่ 13 มี.ค.   นพ.โสภณ   เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เนื่องในวันที่ 12 – 18 มี.ค.นี้ เป็นสัปดาห์โรคต้อหินโลก ทางสมาคมโรคต้อหินโลก (World Glaucoma Association - WGA) และสมาคมผู้ป่วยโรคต้อหินโลก (World Glaucoma Patient Association-WGPA) ได้คาดประมาณว่าในปี 2563 ทั่วโลกจะมีผู้ป่วย 76 ล้านคน ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วย จะตาบอด จึงได้เชิญชวนให้ทุกประเทศร่วมกันสร้างความตระหนักถึงอันตรายของโรคนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุการตาบอดสูงเป็นอันดับ 2 รองจากโรคต้อกระจก ที่พบมากในผู้สูงอายุ แนวโน้มพบผู้ป่วยตามอายุเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปประมาณร้อยละ 4 และจะเพิ่มเป็นร้อยละ 6 เมื่ออายุมากกว่า 60 ปี จึงคาดว่าคนไทยเป็นโรคต้อหินประมาณ 1.2 ล้านคน

กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ให้โรงพยาบาลที่มีความพร้อมทั้งส่วนกลางและภูมิภาค จัดกิจกรรมรณรงค์ในสัปดาห์โรคต้อหินโลก เน้นการให้ความรู้ประชาชน และเชิญชวนให้ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคต้อหิน ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ หรือเป็นโรคที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงขั้วประสาทตาลดลง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีสายตาสั้น ผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดดวงตาหรือเคยมีอาการตาอักเสบ และผู้มีประวัติการกระแทกหรือเกิดอุบัติเหตุบริเวณดวงตา  ผู้ที่กินหรือหยอดตาด้วยยาสเตียรอยด์ (Steroid) ไปพบจักษุแพทย์ใกล้บ้าน เพื่อตรวจหาความผิดปกติและรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรคเพื่อป้องกันตาบอด เนื่องจากในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติ ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ หากปล่อยไว้จะมีอาการตามัว มองเห็นภาพแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตาบอด ไม่สามารถรักษาให้กลับมามองเห็นได้ นอกจากนี้ ได้มอบให้กรมการแพทย์ ศึกษาวิธีการและเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อขยายการคัดกรองโรคต้อหินถึงชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต เพื่อปกป้องคนไทยจากการสูญเสียการมองเห็นให้ได้มากที่สุด

ด้าน นพ.ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และจักษุแพทย์ กล่าวว่า อาการของโรคต้อหินมี 2 ลักษณะ คือ ชนิดเฉียบพลัน จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 1 – 2 วัน มีอาการรุนแรง ปวดตามาก ตาแดง ตามัว มองเห็นสีรุ้งรอบดวงไฟ อาจมีคลื่นไส้อาเจียน หากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1 – 2 วัน หรือความดันตาสูงมากจะทำให้ประสาทตาเสีย สูญเสียการมองเห็น ไม่สามารถรักษาให้กลับมาดีเหมือนเดิม  และชนิดไม่เฉียบพลัน ซึ่งพบมากที่สุด อาการจะเกิดขึ้นช้าๆในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ปวดตา อาจเกิดจากความดันในลูกตาสูงขึ้นทำให้ขั้วประสาทตาค่อยๆ เสื่อม หรือเกิดจากเซลล์ประสาทตาถูกทำลาย การมองเห็นจะแคบลงเรื่อยๆ    จนเห็นแค่รอบดวงตา ผู้ป่วยจะมีอาการเดินชนขอบประตู ชนเสา ไม่มั่นใจเดินขึ้นบันได เพราะมองไม่เห็นด้านข้าง

ขณะที่การรักษาต้อหินมี 3 วิธีคือ 1.การรักษาโดยใช้ยา ชนิดกินและชนิดหยอด เพื่อลดความดันในลูกตา 2.ใช้แสงเลเซอร์ เจาะรูตรงม่านตาที่แคบเพื่อให้เกิดช่องทางของรูระบายน้ำภายในลูกตาได้ดีขึ้น  และ3.ผ่าตัดทำทางระบายน้ำจากข้างในตาออกมาข้างนอกตา ซึ่งจะช่วยลดการทำลายเส้นประสาทตา แต่ไม่สามารถทำให้เส้นประสาทตาที่สูญเสียไปแล้วกลับมามองเห็นดังเดิมได้ ดังนั้นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป จึงควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

Thailand Web Stat