ทักษิณออกโรง สกัดดูดเพื่อไทย
หลังเก็บตัวเงียบไร้การเคลื่อนไหวมาพักใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นขยับด้วยการออกมา ทวีต ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @ThaksinLive
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
หลังเก็บตัวเงียบไร้การเคลื่อนไหวมาพักใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นขยับด้วยการออกมา ทวีต ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @ThaksinLive ถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ส่งให้ผลการยกเลิกพาสปอร์ต 2 ฉบับ มีผลโดยสมบูรณ์ ว่าไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย
“การฟ้องไม่ใช่เพราะเดือดร้อนอะไร ที่ไม่ได้ใช้หนังสือเดินทางของไทย แต่เพียงต้องการอยากเห็นกระบวนการยุติธรรมของไทยได้มีโอกาสปรับตัวจากการถูกปรามาส ว่าถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองจนไม่เป็นที่พึ่งของสังคม เพราะได้ดำเนินการไปโดยขัดหลักนิติธรรมสากล และเลือกปฏิบัติต่อคนเฉพาะกลุ่มเฉพาะฝ่ายมาโดยตลอด”
ไม่ต่างจากท่าทีที่ผ่านมาของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งจะใช้ยุทธศาสตร์สะท้อนให้เห็นสภาพถูกกระทำผ่านกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ที่ขัดกับหลักสากลและยังถูกเลือกปฏิบัติ
ถัดจากนั้นไม่กี่วัน คู่พี่น้องอดีตนายกฯ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จูงมือกันบินไปยังประเทศสิงคโปร์ เปิดห้องอาหารเลี้ยงโต๊ะจีนกับบรรดาอดีตรัฐมนตรีและ สส.จากพรรคเพื่อไทย กว่า 50 คน
ด้านหนึ่งมองว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการ “เช็กชื่อ” ตรวจแถวบรรดาอดีต สส.ว่าจะยังเหนียวแน่นกับพรรคเพื่อไทย พร้อมลุยศึกเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปหรือไม่
ในวันที่แรง “ดูด” ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สอดรับไปกับแนวคิดการตั้ง “พรรคทหาร” ซึ่งมีภารกิจผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย ที่มีความชัดเจนจนเริ่มเห็นการออกมาดำเนินการของแต่ละฝ่ายอย่างเป็นระบบ
ทั้งการเดินสายของคนใน คสช. ที่ไปพบปะกับกลุ่มการเมืองต่างๆ ในอดีต ทั้งตะกูลสะสมทรัพย์ เจ้าของพื้นที่นครปฐม เรื่อยไปจนถึงการดึงตัวคู่พี่น้อง สนธยาและอิทธิพล คุณปลื้ม จากพรรคพลังชล เจ้าของพื้นที่ชลบุรี มารับตำแแหน่งในรัฐบาล คสช. ไม่ต่างจากการดึง สกลธี ภัททิยกุล อดีต สส.กทม.ประชาธิปัตย์ มาเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ หอบคณะรัฐมนตรีไปประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.บุรีรัมย์ ฐานที่มั่นทางการเมืองของ เนวิน ชิดชอบ ซึ่งมีการตั้งเรื่องชงโครงการต่างๆ รวม 2 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาพื้นที่ ในวันที่เริ่มมีการพูดถึงสูตรจัดตั้งรัฐบาลผ่านกลไก “นายกรัฐมนตรีคนใน” ซึ่งต้องอาศัยเสียงจาก สส. 125 เสียงของเพื่อไทยรวมกับ 250 เสียงจาก สว.ชุดเฉพาะกาลที่ คสช.เป็นคนคัดเลือก
ไม่แปลกที่จะเห็นพรรคต่างๆ ออกมาประสานเสียงโจมตีมหกรรมการดูดรอบนี้ว่านอกจากจะสวนทางการปฏิรูปที่ คสช.พยายามปลุกปั้นแล้วยังยิ่งทำให้การเมืองเดินถอยหลังย้อนกลับไปสู่วังวนปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ด้วยแนวคิดการสืบทอดอำนาจที่กำลังเดินหน้า
ขณะที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าเป็นคีย์แมนคนสำคัญกับการจัดตั้งพรรคทหารนั้น ออกมาชี้แจงเรื่องการดูด สส.ว่า “ไม่มีใครไปดูดใคร ไม่มีเลย แต่ทำไมคนอยากจะย้ายบ้าน เพราะว่าบ้านอยู่แล้วไม่มีความสุขหรือไม่ มันจึงต้องพัฒนาบ้านให้เป็นบ้านที่คนไทยฝากความหวังไว้ได้”
สำหรับพรรคเพื่อไทยแชมป์เก่าเวลานี้กำลังระส่ำระสายอยู่ไม่น้อย ในวันที่หัวขบวนต้องระหกระเหินอยู่ต่างประเทศ และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะวางใครขึ้นมาเป็นแม่ทัพนำลงสนามเลือกตั้ง
ทั้งแรงแซะ แรงดูด แรงกดดันที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนเตรียมสละเรือไปตั้งพรรคใหม่ เพื่อลดแรงกดดันในฐานะคู่ขัดแย้งกับ คสช.โดยตรง ซึ่งจะง่ายต่อตัวเองในการลงพื้นที่หาเสียง
ยังไม่รวมกับเรื่องความได้เปรียบทั้งอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ คสช. ในวันที่พรรคการเมืองต่างๆ ถูกกดไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อรวมกับอำนาจรัฐที่มีทั้งกลไก เครือข่าย และงบประมาณในมือย่อมสร้างความได้เปรียบเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ เป็นอย่างมาก
ยิ่งระยะหลังรัฐบาล คสช.เร่งอัดฉีดเม็ดเงินผ่านโครงการประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืน ย่อมทำให้คะแนนนิยมที่เคยลดลงในอดีตกลับมากระเตื้องดีขึ้น
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเอง นอกจากจะอ่อนแรงจากแรงกดดันภายนอกแล้ว ภายในก็ยังมีปัญหาไม่อาจหลอมรวมเป็นเอกภาพเหมือนที่ผ่านมา ถึงขั้นเกิดปรากฏการณ์เตะสกัดขากันเอง ซึ่งมีแต่จะซ้ำเติมความอ่อนแอที่เป็นอยู่ให้หนักหนาสาหัสขึ้นกว่าเดิม
การขยับของอดีตนายกฯ ทักษิณ รอบนี้จึงเป็นเสมือนสัญญาณปลุกเพื่อไทยให้กลับมาเป็นเอกภาพเตรียมตัวเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ในวันที่คู่แข่งอย่างพรรคทหารกำลังแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
อีกด้านหนึ่งยังเป็นการส่งสัญญาณไปถึงคนที่กำลังจะตัดสินใจย้ายพรรคตามแรงดูด ให้ต้องคิดหนักขึ้น
สอดรับกับรายงานข่าวที่ระบุว่า ในงานเลี้ยงนั้น ทักษิณวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง พรรคเพื่อไทยจะกลับมาได้คะแนนอย่างท่วมท้นแน่นอนและแลนด์สไลด์ที่เคยเป็นของพรรคก็จะยังคงเป็นของพรรค
แต่กระนั้นอดีตนายกฯ ทักษิณ ยากที่จะเคลื่อนไหวได้เต็มที่โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เข้าข่าย “ชี้นำ” หรือ “ครอบงำ” ที่จะนำไปสู่การยื่นร้องยุบพรรคได้
ปัจจัยต่างๆ ย่อมทำให้บรรยากาศการเมืองต่อจากนี้มีแต่จะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ