"อย่าผลักมิตรเป็นศัตรู" จตุพร เตือน "วัฒนา" อย่ารบกับหมู่มิตร
"จตุพร" ไลฟ์สดซัด "วัฒนา" อย่าผลักมิตรเป็นศัตรู ถาม รบกับศัตรูยังไม่พอเหรอ คิดจะมารบกับหมู่มิตร
"จตุพร" ไลฟ์สดซัด "วัฒนา" อย่าผลักมิตรเป็นศัตรู ถาม รบกับศัตรูยังไม่พอเหรอ คิดจะมารบกับหมู่มิตร
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ได้เห็นเฟซบุ๊กของนายวัฒนา เมืองสุข ได้พูดกรณีที่มีอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยย้ายไปยังพรรคการเมืองต่างๆ โดยวัฒนา เมืองสุขนั้น เขาได้อธิบายว่า สำหรับอดีต ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยที่ย้ายไปสังกัดพรรคอื่น ประกอบด้วย พลังประชารัฐ 16 คน ชาติไทยพัฒนา 3 คน ภูมิใจไทย 3 คน และเพื่อชาติ 1 คน รวมเป็น 23 คน
ส่วนอีกจำนวนหนึ่งไปสังกัดพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งมีแนวทางอุดมการณ์เดียวกันกับพรรคเพื่อไทยทั้งหมด อันเป็นผลพวงจากการหลอกลวงประชาชนที่ต้องการเห็นการปฏิรูปการเมือง มีการยกตัวอย่างตอนยุบพรรคพลังประชาชน แล้วก็อธิบายทิ้งท้าย ท่ามกลางพายุการเมืองที่เผด็จการใช้ทั้งอำนาจรัฐ อำนาจเงิน และข้อต่อรองทุกรูปแบบนะครับ แล้วก็พูดเรื่องความศรัทธาที่มีต่อประชาชน
ความจริงนะครับถ้าดูผิวเผินก็จะไม่มีอะไร แต่ผมเองในฐานะที่เป็นกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ และโดยส่วนตัวก็รู้จักกับคุณวัฒนา เมืองสุข การที่เอาพรรคเพื่อชาติไปรวมไว้ในกรุ๊ปเดียวกับพลังประชารัฐ ชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทยนะครับ แล้วก็ขณะเดียวกันก็เอาเพื่อไทย และไทยรักษาชาติเป็นพวกเดียวกัน เสมือนหนึ่งว่าบัดนี้ได้จัดกลุ่มก้อนทางการเมือง ว่าพรรคเพื่อชาติจะไปอยู่ซีกเดียวกับพลังประชารัฐเป็นที่เรียบร้อยอย่างไรก็อย่างนั้น
ผมไม่ทราบว่าวัฒนา เมืองสุข จะมีความต้องการอะไร ผมเองก็เห็นเมื่อคราวที่ได้โพสต์ถึงคุณจาตุรนต์ ฉายแสง แล้วก็มีการแก้ไขกัน ความจริงนั้นผมเองและคณะเราต่างระมัดระวัง และผมเองก็เป็นคนพูดตั้งแต่ต้น ว่ารวมกันแพ้แยกกันชนะ และฝ่ายประชาธิปไตยนั้นจะต้องมีจิตใจที่กว้างขวาง
บัดนี้นะครับ ถ้าไม่มีการชี้แจงอะไรเลย และก็ปล่อยให้มีการเข้าใจ โดยมีการจับมัดรวมว่าพรรคเพื่อชาติไปจับรวมกับพลังประชารัฐ ตามการอธิบายของวัฒนา เมืองสุขนั้น ผมเองก็เห็นว่าจะเกิดความเสียหาย
เพราะฉะนั้น ณ ขณะนี้นะครับ สิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องคิดก็คือว่า จะทำให้ประชาชนเขามีความศรัทธาตามที่พูดนี้ได้อย่างไร เพราะเราเองก็ต้องเห็นกระดานข้างหน้า ว่ามีวุฒิสภารออยู่ 250 การที่จะให้พรรคการเมืองถึง 250 นั้น ภายใต้กติกาบัตรใบเดียวนั้นเป็นเรื่องยากกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่มีพฤติกรรม พฤติการณ์ ในลักษณะอิจฉา ริษยา หรือว่าวิตกกังวลกันเองระหว่างกัน
ความจริงเรื่องนี้ผมจะปล่อยผ่านเลยไปก็ได้ แต่ว่าถ้าเริ่มต้นด้วย 1 คน คือ วัฒนา เมืองสุข แล้วก็จะมีการพูดลุกลามกันไป แล้วก็เป็นการไปรวมแม้ว่าไม่พูดตรงๆ แต่โดยพฤติกรรมของตัวอักษรนั้น ก็เป็นการผลักให้พรรคเพื่อชาติซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าผมเป็นกองเชียร์ ยงยุทธ ติยะไพรัช ก็เป็นกองเชียร์ เหมือนหนึ่งว่าไปสมคบกับซีกของพลังประชารัฐอย่างไรกันอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นนะครับ ไอ้ประเภทเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นนั้น เราก็วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายอื่นกันมามากพอสมควร
วันนี้ถ้ายังคิดอ่านกันไม่ได้ ผมอยากจะบอกคุณวัฒนา ว่าลองคิดทบทวนในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านนั้น ความล้มเหลวต่างๆ คุณวัฒนาก็ไปรู้เห็น หรือว่าเกี่ยวข้องกันมากพอสมควร จนกว่าจะถึงบัดนี้ และผมเตือนอีกว่าถ้ายังไม่หยุด ยังใช้วิธีการกันแบบนี้ ผมก็พร้อมที่จะเป็นคู่วิวาทะได้ทุกวันกับคุณวัฒนา เมืองสุข เพราะผมเองก็ระมัดระวังตัวเองพอสมควรอยู่แล้วตั้งแต่ออกมาจากเรือนจำ ก็พยายามจะสงวนท่าที ระมัดระวังถ้อยคำ แต่ผมเป็นคนตรงไปตรงมา ประเภทหาเศษหาเลยกันนั้นผมไม่เป็นที่นิยมนะครับ
เพราะฉะนั้น ไอ้ประเภทเขียนข้อความนะครับ ให้เกิดความกำกวม แล้วก็ไปมัดกันอย่างนี้นั้น เป็นเรื่องเกินกว่าที่จะรับได้นะครับ เพราะฉะนั้นผมไม่ได้วิตกอะไรคุณวัฒนา เมืองสุขนะครับ ถ้าพูดว่ามีหลักฐานว่าพรรคเพื่อชาติมีพฤติการณ์ พฤติกรรม ตามที่มัดรวม ก็ตอบโต้มา แล้วผมก็จะชี้แจงทุกประเด็นนะครับ ทุกครั้งก็จะไม่ถอยหนี แต่ว่าถ้าคิดได้ว่าฝ่ายประชาธิปไตยนั้นอยู่ท่ามกลางความยากลำบากอยู่แล้วนะครับ แล้วตัวคุณวัฒนาเองก็มีเรื่องราวที่ต้องดำเนินการกันมากอยู่แล้ว อย่างที่ผมบอกว่าลองทบทวน 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ว่าใครเป็นส่วนหนึ่งอย่างไรนะครับ หรือว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร จนกระทั่งถึงสถานการณ์แบบนี้นะครับ แล้วผมที่ผ่านมามีจุดยืนอย่างไร คุณวัฒนามีจุดยืนอย่างไรนะครับ
เพราะฉะนั้นการที่จะมาอธิบายความหาเศษหาเลยกันแบบนี้นะครับ ผมคงจะไปขอร้องว่าอย่ากระทำคงจะไม่ได้ เพียงแต่ว่ารบกับคนอื่น รบกับศัตรูยังไม่พอเหรอ คิดจะมารบกับหมู่มิตรเหรอ
เพราะฉะนั้นก็ฝากกันว่าให้คิดดีๆนะครับ แล้วถ้าคิดดีๆแล้วยังคิดไม่ได้แล้วก็ตัดสินใจ ผมก็พร้อมทุกกรณี แต่บนพื้นฐานของวิวาทะบนเหตุผลให้เกิดประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง เพราะผมเองก็คงจะรับไม่ได้ ว่าใครมีว่าพรรคที่ผมเป็นกองเชียร์อยู่นั้นไปสมคบกับเผด็จการ ซึ่งเป็นข้อหาที่มันรุนแรงเกินกว่าที่พึงจะรับได้