posttoday

ข้อเสนอก้าวไกลถึงรัฐบาล ดิจิทัลวอลเล็ต เงินกำลังจะหมุน…ไปหาทุนใหญ่!?

21 เมษายน 2567

ก้าวไกลส่งข้อเสนอ ตั้งคำถามถึง “ดิจิทัลวอลเล็ต” รัฐบาลเศรษฐา เมื่อพิจารณาเงื่อนไขของนโยบาย ประชาชนเกิดคำถามตัวโตว่า ถึงที่สุด เงินที่กำลังจะหมุนจากนโยบายนี้ มันจะหมุนไปไหน?

โพสต์ข้อความจากเฟซบุ้กพรรคก้าวไกล

 

การแถลงของรัฐบาลเศรษฐาเมื่อ 10 เมษายน แสดงความชัดเจนว่าจะเดินหน้า “ดิจิทัลวอลเล็ต” เต็มสูบ อย่างไรก็ตาม หลายเรื่องที่รัฐบาลบอกว่าชัด ก็ยังไม่ชัดและสิ้นข้อกังวลเสียทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาเงื่อนไขของนโยบาย ประชาชนเกิดคำถามตัวโตว่าถึงที่สุด เงินที่กำลังจะหมุนจากนโยบายนี้ มันจะหมุนไปไหน? 

 

วานนี้ (20 เม.ย.) ที่ SOL Bar & Bistro อาคารอนาคตใหม่ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จึงร่วมพูดคุยประเด็นนี้ ชี้ข้อกังวลและข้อเสนอแนะ หวังให้รัฐบาลนำไปพิจารณาปรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตให้ครอบคลุม เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่มักพูดถึงได้จริงๆ 

 

[ “ร้านค้าขนาดเล็ก” แบบใด? รวมร้านสะดวกซื้อเชนใหญ่ทั้งหมด ]

 

ศิริกัญญากล่าวว่า ตอนนี้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่เรื่องที่ยังมีการตั้งคำถามคือกรณีร้านค้าขนาดเล็ก ที่รัฐบาลเพิ่งมีการนิยามว่าหมายถึงร้านค้าทั้งหมด ไม่รวมห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ดิสเคานท์สโตร์ และ Cash&Carry จึงเห็นได้ว่ากินความหมายกว้างมาก รวมถึงร้านสะดวกซื้อเชนใหญ่ทั้งหมด ทำให้ประชาชนกังวลว่าสุดท้ายเงินของโครงการนี้จะหมุนไปที่ไหน

 

[ ใช้จ่ายไตรมาส 4 ไม่น่าทัน.. ]

 

ส่วนที่รัฐบาลบอกว่าจะเริ่มใช้จ่ายตอนไตรมาส 4 ของปีนี้ ตนคิดว่าเป็นเรื่องดีถ้าจะทำให้โครงการนี้ออกมาคาบเกี่ยวกับ 2 เทศกาลที่คนเดินทางกลับบ้าน คือปีใหม่และสงกรานต์ แต่ประเมินดูแล้ว คิดว่าคงไม่ทัน เพราะยังมีประเด็นปัญหาเรื่องแหล่งที่มาของเงินที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และต้องเอาร่าง พ.ร.บ. เข้าสภาฯ อีกอย่างน้อย 2 ฉบับเพื่อหาเงินเตรียมมาใช้ 

 

และสิ่งที่ตนกังวลมากที่สุดคือซูเปอร์แอป (Super App) ซึ่งมีอยู่แล้วชื่อ “ทางรัฐ” น่ากังวลว่าระบบหลังบ้านจะเสร็จทันหรือไม่ หน่วยงานที่รับผิดชอบคือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ต่อให้มีคนที่มีความสามารถ แต่ก็ต้องมีระยะเวลาในการทดสอบระบบด้วย 

 

ข้อเสนอก้าวไกลถึงรัฐบาล  ดิจิทัลวอลเล็ต เงินกำลังจะหมุน…ไปหาทุนใหญ่!?

 

[ ซูเปอร์แอป “ทางรัฐ” ระบบหลังบ้านพร้อมยัง? ]

 

ด้านณัฐพงษ์กล่าวว่า ซูเปอร์แอปคือแอปที่มีความสามารถทำได้หลายอย่างในแอปเดียว แต่ที่ผ่านมาแอป “ทางรัฐ” ดูข้อมูลได้อย่างเดียว ยังทำธุรกรรมอะไรไม่ค่อยได้ 

 

อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้กังวลว่าซูเปอร์แอปจะใช้ทันหรือไม่ เพราะหากทำเป็นหน้ากากหรือระดับเบื้องต้น ก็พอเป็นไปได้ แต่หากบอกว่าคำนิยามของ “ซูเปอร์แอป” หมายถึงฟังก์ชันทุกอย่างของบริการภาครัฐ ต้องมาปรากฏบนซูเปอร์แอปนั้น ตนการันตีได้เลยว่าอย่างไรก็ไม่ทันภายในไตรมาส 4 ของปีนี้

 

จึงเชื่อว่าช่วงแรกที่มีการเปิดตัวโครงการ จะเป็นแอปทางรัฐที่มีฟังก์ชันเดิมเพิ่มเติมดิจิทัลวอลเล็ตเข้าไป ส่วนในอนาคตจะพัฒนาไปเป็นซูเปอร์แอปของรัฐได้หรือไม่ โดยหลักการไม่ผิดแต่อย่างใด เช่น ในประเทศเอสโตเนียหรือสิงคโปร์ ก็มีแอปเช่นนี้ที่ประชาชนสามารถใช้บริการของรัฐได้ทั้งหมด 

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนมองว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่น หากเปิดใช้บริการแอปวันแรกแล้วแอปล่ม ตรงนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ 

 

[ จำกัดพื้นที่ใช้จ่าย สร้างอุปสรรคมากกว่าส่งเสริม ]

 

ศิริกัญญากล่าวว่า อีกปัญหาคือเงื่อนไขการใช้เงินที่อาจจะทำให้ร้านค้าขนาดเล็กไม่อยากเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากการซื้อสินค้ารอบแรกต้องใช้กับร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น เช่น ซื้อหมูปิ้ง ถ้าแม่ค้าเข้าร่วมโครงการ เราก็จ่ายได้ แม่ค้าที่ขายหมูปิ้งก็ต้องไปซื้อวัตถุดิบต่อและต้องจ่ายด้วยดิจิทัลวอลเล็ต แต่ปัญหาคือถ้าเขียงหมูในพื้นที่อาจไม่ได้เข้าร่วมโครงการ แม่ค้าก็อาจไม่มีเงินสดไปต่อทุน สิ่งเหล่านี้อาจสร้างความยุ่งยาก ทำให้ร้านค้าไม่สามารถหรือไม่อยากเข้าร่วมโครงการ 

.

แม้รัฐบาลบอกว่าอยากให้โครงการนี้สนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ แต่ด้วยวิธีการออกแบบเช่นนี้ อาจเป็นอุปสรรค สุดท้ายผู้ที่ได้ประโยชน์อาจเป็นแค่ร้านสะดวกซื้อเชนใหญ่ที่มีความพร้อมเท่านั้น

 

[ ข้อเสนอก้าวไกลถึงรัฐบาล ]

 

1. ตอนนี้เหลือเวลาประมาณ 3 เดือนก่อนเปิดลงทะเบียนร้านค้า รัฐบาลต้องสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เข้ามาร่วมให้มากที่สุด 

 

เช่น อาจมีมาตรการเพิ่มเติม เช่น นิรโทษกรรมทางภาษี เพื่อคลายข้อกังวลของบางร้านค้าที่กังวลจะโดนเก็บภาษีย้อนหลัง หรือหากรัฐต้องการให้เกิดการลงทุนต่อ ก็อาจมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นการจูงใจ แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้ยินอะไรแบบนี้จากรัฐบาลเลย 

 

2.เปลี่ยนเงื่อนไขร้านค้าขนาดเล็กเป็นเอสเอ็มอีโดยไม่จำกัดพื้นที่ เพื่อให้ร้านค้า SME ขนาดเล็กตัวจริงมีแต้มต่อสู้กับทุนใหญ่ได้ น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าในทางเศรษฐกิจ

 

3. ปัจจัยความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งของโครงการนี้ คือต้องมีร้านเล็กๆ เข้าร่วมให้มากที่สุด ดังนั้นช่วงลงทะเบียนไตรมาส 3 รัฐบาลควรเปิดเผยตัวเลขยอดผู้ลงทะเบียน โดยแบ่งตามประเภทร้านค้าและรายอำเภอ เพื่อช่วยกันตรวจสอบว่าทั่วทั้งประเทศ เป็นร้านค้าขนาดเล็กจริงหรือไม่  

 

4. รัฐบาลเคยกล่าวว่าจะนำบล็อกเชนมาใช้เพื่อแบ็กอัปข้อมูล แต่การประมวลผลธุรกรรมการเงินยังคงเป็นระบบรวมศูนย์ (centralization) ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรออกมาพูดให้ชัด คือหากอ้างว่าข้อมูลเก็บในบล็อกเชน ก็หมายความว่าประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบธุรกรรม (transaction) ได้ทั้งหมด แต่จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จะมีเพียงวอลเล็ตไอดีที่แสดงการทำธุรกรรม 

 

หากรัฐบาลย้ำว่าเป็นระบบบล็อกเชนก็ควรเปิดเผยข้อมูลเป็นสาธารณะ เมื่อเวลาผ่านไป จะสามารถตรวจสอบได้ว่ามีวาฬ (Whale) หรือคนที่ดูดเงินจากกระเป๋าคนอื่น อยู่ในระบบเท่าไร สามารถวัดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจได้ว่าโครงการนี้ เศรษฐกิจหมุนไปกี่รอบและสุดท้ายหลังจากหมุนแล้ว เงินไปอยู่ในกระเป๋าใครมากที่สุด

 

ศิริกัญญาทิ้งท้ายว่า ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ณ วันนี้ สร้างข้อจำกัดให้ร้านค้าขนาดเล็ก ถ้ารัฐบาลยังไม่ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเพื่อจูงใจให้ร้านค้าขนาดเล็กเข้าร่วม เงินที่กำลังจะหมุน อาจจะหมุนไปกระจุกอยู่ที่ทุนขนาดใหญ่ คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ คือร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านค้าขายปลีกที่เป็นเชนขนาดใหญ่ 

 

นี่คือสิ่งที่พรรคก้าวไกลวิเคราะห์คาดการณ์ได้โดยตั้งอยู่บนข้อมูลที่รัฐบาลแถลงออกมา และการคาดการณ์นี้สามารถพิสูจน์ได้ ถ้าบล็อกเชนถูกทำให้โปร่งใส เข้าไปตรวจได้ก็จะเห็นว่ามีกระเป๋าเงินไหนได้เงินมากเป็นพิเศษ 

 

ในเมื่อเป้าหมายของโครงการนี้มีอย่างเดียว คือกระตุ้นเศรษฐกิจให้จีดีพีเติบโต 1.2-1.8% ไม่ได้ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากหรือกระจายรายได้ให้พี่น้องประชาชน ดังนั้น ถ้ารัฐบาลใส่ใจเพียงพอว่าอยากให้เงินกระจายไปทั่วถึง ยังมีเวลาแก้ไขเพื่อทำให้โครงการนี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ครอบคลุมประชาชนมากกว่านี้

 

และถ้าประชาชนช่วยกันส่งเสียง อาจทำให้รัฐบาลเปลี่ยนเงื่อนไข ว่าจะทำอย่างไรให้รายได้ของคนตัวเล็กตัวน้อยดีขึ้น สร้างแต้มต่อให้เอสเอ็มอีมากขึ้น กระจายรายได้ให้ชุมชนมากขึ้น ภาพที่เรากังวลว่า “เงินจะหมุนไปเข้ากระเป๋าทุนใหญ่” ก็อาจไม่เกิดขึ้น