การรถไฟยันเป็นเจ้าของเขาที่กระโดงไม่เคยมีปมพิพาท12หน่วยงานรัฐ
การรถไฟฯยันความเป็นเจ้ากรรมสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ไม่เคยมีกรณีพิพาท12หน่วยงานรัฐแนะอธิบดีกรมที่ดินดำเนินการให้จบตามคำพิพากษาศาล เร่งสอบปมมีการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนแนวเขตพื้นที่การรถไฟหรือไม่
กรณีคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ลงวันที่ 12 พ.ค. 2566 มีมติเอกฉันท์ ไม่เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินจำนวน 5,083 ไร่ บริเวณแยกเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เนื่องจาก การรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงให้ได้เป็นที่ยุติว่าเป็นที่ดินของการรถไฟฯ แต่หาก รฟท.เห็นว่ายังมีสิทธิในที่ดินดีกว่าก็สามารถไปพิสูจน์สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางศาล
ต่อมา การรถไฟแห่งประเทศไทย แถลงการณ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดง สอดคล้องกับคำพิพากษาศาลปกครองกลางคดีหมายเลขดำที่ 2494/2564คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566ที่ รฟท. ยื่นฟ้องกรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน โดยศาลมีคำวินิจฉัยยืนยันความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินของ รฟท. มิใช่เพียงแค่ที่ดินพิพาทในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยคำวินิจฉัยในคำตัดสินระบุว่า
แม้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดีและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้วินิจฉัยให้เพิกถอนที่ดินแปลงอื่นๆ นอกเหนือจากที่ปรากฏเป็นข้อพิพาทในคดีก็ตาม แต่คำพิพากษาดังกล่าวก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึง ความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถใช้ยันบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า
อีกทั้งที่ดินบริเวณที่ศาลมีคำพิพากษากล่าวอ้างถึงฐานะเป็นที่ดินของรัฐ ที่สามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะแต่คู่ความในคดีตาม มาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่
นอกจากการอ้างถึงคำพิพากษาของศาลแล้ว การรถไฟฯยังยืนยันความเป็นเจ้ากรรมสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดง ที่ผ่านมาไม่เคยมีกรณีพิพาทกับ12หน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วย
1.อบต.เสม็ด (ทางสาธารณะประโยชน์ 5 สาย,ทำเลเลี้ยงสัตว์โคกใหญ่, วัดป่าศิลาทอง)
2.กรมทางหลวง (แขวงการทางบุรีรัมย์, หมวดทางหลวงบุรีรัมย์, ทางหลวง 2445, 226 โรงเรียนภัทรบพิตร)
3. ธนารักษ์พื้นที่บุรีรัมย์ (ที่ทำการ อบจ.บุรีรัมย์-อบจ.บุรีรัมย์, โรงเรียนบ้านเสม็ดโคกตาล,
เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์-ราชทัณฑ์ จ.บุรีรัมย์, คลองชลประทาน- ชลประทาน จ.บุรีรัมย์)
4. เทศบาลตำบลอีสาณ (ทางสาธารณประโยชน์ 9 สาย, ห้วยสาธารณะประโยชน์ 2 แห่ง,
ที่สาธารณประโยชน์, ห้วยจรเข้มาก)
5. สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.บุรีรัมย์ (วัดไทยเจริญ)
6. อำเภอเมืองบุรีรัมย์ (ที่สาธารณประโยชน์)
7. สถานีตำรวจทางหลวง 2 (กองกำกับการ 6 บุรีรัมย์)
8.สำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์
9.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จ.บุรีรัมย์
10. การประปาส่วนภูมิภาค จ.บุรีรัมย์ (วางท่อประปา 5 จุด)
11. องค์การโทรศัพท์ (NT) (ปักเสาพาดสาย, ดันท่อรอดร้อยสาย)
12. เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ (ถนนเลียบทางรถไฟ)
การไม่มีข้อพิพาทกับ12หน่วยงานรัฐของรฟท.สอดรับกับกรณีนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยลงนามในแถลงการณ์ เมื่อ 6 ม.ค.68 ระบุว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามคำพิพากษาทั้งของศาลยุติธรรมและศาลปกครองว่าที่ดินบริเวณเขากระโดงเป็นที่ดินของ รฟท. และศาลปกครองได้มีข้อสังเกตในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61แห่งประมวลกฎหมายที่ดินโดยให้ รฟท. มีส่วนร่วมในการดำเนินการของคณะกรรมการฯ กรณีเช่นนี้จึงทำให้อธิบดีกรมที่ดินมีหน้าที่ต้องทำการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนกับแนวเขตพื้นที่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. หรือไม่
หากมีการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินของ รฟท.โดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว อธิบดีกรมที่ดินก็ต้องใช้อำนาจหน้าที่สั่งเพิกถอนหรือแก้ไข โดยในการดำเนินการเช่นว่านี้ ทางคณะกรรมการสอบสวนมีอำนาจในการเรียกเอกสารสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบ เพื่อให้โอกาสในการคัดค้าน
ดังนั้น การที่อธิบดีกรมที่ดินยุติเรื่องโดยอ้างเหตุว่าเป็นดุลพินิจซึ่งศาลไม่อาจก้าวล่วงได้นั้นกรณีเช่นนี้ย่อมถือว่าเป็นการดำเนินการที่ยังไม่ครบถ้วนตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งยังเป็นการโต้แย้งพยานหลักฐานซึ่งศาลได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้วอีกด้วย
นอกจากนี้ กรณีที่อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งตาม ม 61 วรรค 2 ให้ยุติเรื่องลงวันที่ 21ต.ค.67 ต่อมา รฟท. ได้ยื่นหนังสือโต้แย้งคัดค้าน ฉบับลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 แต่ขณะนี้ รฟท. ยังไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาจากกรมที่ดิน รฟท.จึงขอให้เร่งพิจารณาข้อโต้แย้ง ดำเนินการตามกฎหมายให้เป็นไปโดยครบถ้วนถูกต้องด้วย