posttoday

กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) สำคัญต่อธุรกิจสีเขียวอย่างไร

03 มีนาคม 2566

กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ หรือ IRA ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐอเมริกากำลังจะออกดอกออกผล และจะเริ่มส่งอิทธิพลอย่างมากต่อแนวโน้มธุรกิจสิ่งแวดล้อมในปีนี้ แต่จะเป็นไปในทิศทางไหนอย่างไร ไปหาคำตอบกัน

กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) สำคัญต่อธุรกิจสีเขียวอย่างไร


กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ หรือ  IRA (Inflation Reduction Act) ของสหรัฐฯ มีส่วนสำคัญต่อแนวโน้มธุรกิจสีเขียวในปี 2566 อย่างไร จากคำประกาศประจำปีของ GreenBiz ในหัวข้อ "State of Green Business 2023" 

กฎหมาย Inflation Reduction Act เป็นกฎหมายที่ใช้งบประมาณจำนวน 4.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายในการใช้นโยบายภาษีหลากหลายรูปแบบเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน

เมื่อมีการใช้งบประมาณจำนวนมาก การคำนวนภาษีในบางรายการของนิติบุคคลก็ถูกปรับเปลี่ยนให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป้าหมายสุดท้ายของกฎหมายไม่ได้เป็นเพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อช่วยลดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในระยะยาวด้วย

หนึ่งในประเด็นสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือการที่สหรัฐฯ ตระหนักดีว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก และนับจากการถอนตัวออกจากความตกลงปารีสในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ประธานาธิบดีไบเดนก็กลับเข้าร่วมความตกลงปารีสทันทีเมื่อได้รับตำแหน่งในต้นปี 2564

ดังนั้น ด้วยเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว กฎหมายฉบับนี้จึงใช้นโยบายการคลัง ทั้งในด้านการใช้มาตรการเงินอุดหนุน (Subsidies) และการใช้มาตรการทางจูงใจทางภาษีผ่านมาตรการเครดิตภาษีหลากหลายรูปแบบ (Tax Credits) โดยอาจสรุปได้ ดังนี้

 

สิทธิประโยชน์สำหรับครัวเรือน

 

เมื่อมีการใช้จ่ายตามรายการที่รัฐกำหนด ครัวเรือนอาจได้เครดิตคืนราว 28,500 ดอลลาร์สหรัฐ เช่น ซื้อรถไฟฟ้าจะได้เครดิตเงินคืน $7,500 (หรือหากเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามือสองก็ยังได้คืน $4000)  หรือหากมีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จะได้รับเงินอุดหนุนร้อยละ 30 ของราคาแผงโซลาร์เซลล์

 

นอกจากนี้ หากมีการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน จะได้รับเครดิตเงินคืน $14,000 โดยหากมีการปรับปรุงที่พักอาศัยทั้งหลังก็สามารถได้รับเงินคืนกว่าร้อยละ 50 ของเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ซึ่งหากเป็นครอบครัวที่มีรายได้ต่ำอาจได้รับเงินคืนกว่าร้อยละ 80

 

สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรม

 

เดิมที มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบมาตรการบังคับและควบคุม (command and control) ประกอบกับการใช้กลไกการลงโทษในรูปแบบต่าง ๆ ครั้งนี้ สหรัฐฯ จึงเปลี่ยนรูปแบบผ่านมาตรการจูงใจทางภาษีแทน โดยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเน้นใช้พลังงานและเทคโนโลยีที่สะอาด หรือ “Clean Energy Technologies” แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในแบบเดิม

 

อย่างไรก็ดี การจะได้สิทธิประโยชน์ ผู้ผลิตก็ยังคงต้องผลิตตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนด เช่น การจะสามารถเข้าร่วมโปรแกรม EV Tax Credit (เครดิตภาษีจากรถไฟฟ้า) ได้ รถคันดังกล่าวต้องใช้การประกอบจากอุปกรณ์และแร่ธาตุ (เช่น ผงลิเทียม และโคบอลต์) ตามแหล่งที่กำหนด

 

กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) สำคัญต่อธุรกิจสีเขียวอย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม หลัง IRA ผ่านสภาตราเป็นกฎหมายเมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน (2022) ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมั่นใจว่า แท้แล้วใครจะได้รับผลประโยชน์ ในขณะที่ภาคธุรกิจกำลังหาทางหาไอเดีย ภาคส่วนสิ่งแวดล้อมหลายแห่งกำลังใช้ประโยชน์จากเงินกู้และการลดหย่อนภาษีที่กฎหมายกำหนด และใช้เงินเพื่อตรวจสอบเทคโนโลยีทั้งของใหม่และของเก่าที่มีอยู่ทั้งหมด ดังตัวอย่างต่อไปนี้:

 

การดักจับคาร์บอน

 

หรือ Carbon Capture ซึ่งมีอยู่ทุกแห่งหนในทุกวันนี้ จาก 0 เป็น 100 ในปีที่ผ่านมา และแม้ว่า “เทคโนโลยีคาร์บอนจะดักจับเงินทุนได้หลายพันล้าน” แต่เทคโนโลยีคาร์บอนและการดักจับก็มีมาประมาณ 50 ปีแล้ว กระบวนการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมและนำกลับมาใช้ใหม่หรือจัดเก็บไว้ แทนที่จะปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศก็ยัง “ถือว่าแพงเกินไปและไม่มีประสิทธิภาพมานานแล้วที่จะเรียกได้ว่า เป็นวิธีการแก้ปัญหาสภาพอากาศที่ได้ผลจริงๆ”  และตอนนี้กลับกลายเป็นภาคเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง

 

ว่าแต่เพราะอะไร? ว่ากันว่าเบื้องต้นต้องขอบคุณกฎหมาย IRA ที่ "จะกระตุ้นให้นักลงทุนเพิ่มการใช้จ่ายในการดักจับคาร์บอนและจะกระตุ้นการระดมทุนในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย"

 

นอกเหนือจากการจัดหาเงินทุนให้กับภาคสีเขียวแล้ว IRA ยังแก้ไขเครดิตภาษี 45Q ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่เดิมอุดหนุนบริษัทด้านเทคโนโลยีคาร์บอน 50 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอนที่ดักจับและจัดเก็บได้ ซึ่งแรงจูงใจนี้นับว่าต่ำเกินไปที่จะสร้างให้เกิดกระแสรายได้ที่ยั่งยืน

 

“ผลจากกฎหมาย IRA ในปี 2022 ได้ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้สูงถึง 180 ดอลลาร์ต่อตัน ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดเกณฑ์การตัดสินสิทธิ์ของโครงการลง และปลดล็อกตลาดที่ทำกำไรกับบริษัทต่างๆ มากขึ้น” และที่น่าสนใจก็คือ บริษัทน้ำมันและก๊าซ เช่น Occidental Petroleum และ Talon Energy กลายเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในพื้นที่นี้ ด้าน ExxonMobil ได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์กับบริษัทพลังงานของรัฐของอินโดนีเซีย เพื่อพัฒนาศูนย์กลางการกักเก็บคาร์บอนในประเทศ ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายแห่งชาติคาร์บอนเป็นศูนย์สุทธิในปี 2060

 

ในขณะเดียวกัน การดักจับคาร์บอน “ยังคงเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เชื่อมการเปลี่ยนผ่านระหว่างเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียน” ได้อีก

 

กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) สำคัญต่อธุรกิจสีเขียวอย่างไร
 

ระบบพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal)

 

เนื่องจาก IRA รวมเครดิตภาษีให้กับพลังงานปลอดคาร์บอนทุกรูปแบบ พลังงานความร้อนใต้พิภพจึงถูกนำมาแต่งตัวใหม่ เพราะหากพูดถึงโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพก็ต้องนับถอยหลังไปเป็นร้อยปีนับตั้งแต่ปี 1904 ซึ่งซาราห์ โกลเดน รองประธานฝ่ายพลังงานของ GreenBiz กล่าวว่า คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.4% ของอุตสาหกรรมพลังงาน แต่จากข้อมูลของโกลเดพบว่า เรื่องนี้กำลังจะเปลี่ยนไปเนื่องจากกลุ่มธุรกิจและรัฐบาลกำลังผลักดันและพยายามใช้ไฟฟ้าที่ปราศจากคาร์บอนให้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ทำให้การเข้าถึงพลังงานความร้อนใต้พิภพมีราคาถูกลงและง่ายขึ้น

 

“คนหัวรั้นกล่าวว่า การจัดการกับอุปสรรคทางเทคโนโลยีสามารถกระตุ้นพลังงานความร้อนใต้พิภพให้เพิ่มขึ้นเป็น 20 หรือ 30 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั่วโลก” โกลเดนเขียนในรายงาน “State of Green Business 2023" โดยบรรดาสตาร์ทอัพจำนวนมากมองว่า นี่เป็นทางเลือกคาร์บอนที่มีศักยภาพ เช่นเดียวกับกระทรวงพลังงานสหรัฐ (DOE)

 

ในเดือนกันยายน 2565 DOE ได้ประกาศเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ หรือ Enhanced Geothermal Systems (EGS)  ให้เป็นทางเลือกพลังงานทดแทนที่ถูกใช้แพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยลดต้นทุนลง 90% เป็น 45 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี พ.ศ. 2578 แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Energy Earthshots Initiative ของ DOE ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อทำลายอุปสรรคทางวิทยาศาสตร์และทางเทคนิคที่ใหญ่ที่สุดที่ยังเหลืออยู่ในการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

 

โครงการริเริ่ม Earthshots ก่อนหน้านี้ยังรวมไปถึงการใช้พลังงานไฮโดรเจน การแก้ปัญหาคาร์บอนเชิงลบ (carbon negative solutions) และการจัดเก็บพลังงานในระยะยาว (long-term energy storage) ด้วย

 

ส่วนข้อเสียในการใช้พลังงานความร้อนจากใต้ดินก็คือ หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจะก็อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมพลังงาน อย่างไรก็ตาม โกลเดนเชื่อว่า อุตสาหกรรมพลังงานพร้อมที่จะเล็งเห็นความสำคัญของการใช้ความร้อนใต้พิภพเพิ่มขึ้น

 

กล่าวโดยสรุป IRA นอกจากจะเป็นกฎหมายที่ใช้งบประมาณจำนวน 4.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ แล้ว สาระสำคัญต่อโลกข้อหนึ่งก็คือ การแสดงเจตนาหรือท่าทีในการลดพลังงานครั้งสำคัญของสหรัฐฯ นับตั้งแต่มีการตรากฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สนับสนุนการลงทุน และส่งเสริมพลังงานสะอาด ในสมัยประธานาธิบดีโอบามา (American Reinvestment and Recovery Act 2009) และที่สำคัญยังแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนการลงทุนด้วยเทคโนโลยีสะอาดให้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นการลดการพึ่งพาจากจีนอย่างมีนัยสำคัญ

 

อ้างอิง:

www.wolterskluwer.com

https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1021039