“Climate Tech” นวัตกรรมเปลี่ยนประเทศ สู่เป้าหมายเปลี่ยนโลก “Net Zero”
“Climate Tech Forum” เวทีแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี-นวัตกรรมด้านสภาพภูมิอากาศ สร้างพลังขับเคลื่อนร่วมกันทั้งจากภาครัฐและเอกชน ตอกย้ำความตั้งใจการผลักดัน”เทคโนโลยีลดโลกร้อน” มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน สอดรับเป้าหมายของไทยและของโลก
บทสรุปจากเวทีสัมมนา Climate Tech Forum : Infinite Innovation...Connecting Business to Net Zero เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2566 โดย “กรุงเทพธุรกิจ” ร่วมกับ "บีไอจี" ผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Technology Company)
เวทีสัมมนาครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมสร้างพลังขับเคลื่อนร่วมกันทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อย้ำความตั้งใจของ BIG ในการผลักดันเทคโนโลยีการลดผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่สอดรับเป้าหมายของไทย และทั่วโลก
BIG ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากอากาศกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ BIG กล่าวว่า BIG ในบริบทใหม่จะเน้นการลงมือทำเพื่อสร้างความยั่งยืน เพราะว่าปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นทั่วโลก แม้แต่กรุงเทพมหานคร ก็ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกปี ทั้งจากภัยมรสุมที่สลับกับภัยแล้ง อย่างเช่นตอนนี้เดือนมิถุนายนแล้วแต่ฝนก็ยังตกน้อยอยู่
“ทั้งหมดนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ที่เรียกว่า Green House Gases เรามักจะนึกถึงแค่คาร์บอนไดออกไซด์แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่แค่คาร์บอนไดออกไซด์ มันยังมีก๊าซมีเทน ไนตรัสออกไซด์ มีก๊าซจำพวกกลุ่มฟลูออรีนอีก
ก๊าซเหล่านี้ถูกปล่อยออกมาเพื่อสร้างสินค้าและบริการให้กับมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรมภาคขนส่ง แม้แต่ภาคเกษตรต่างก็ผลิตสินค้าและบริการ ขึ้นมาเพื่อให้เราใช้ชีวิตกันอย่างปลอดภัย อย่างสะดวกสบาย”
BIG มีความเข้าใจภาคธุรกิจ ภาคการผลิตเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะว่า ธุรกิจของ BIG คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากอากาศไม่ว่าจะเป็นออกซิเจน ไนโตรเจน อาร์กอน ไฮโดรเจน
“ธุรกิจของ BIG ถือว่าเป็นรากฐานของการผลิตสินค้าเหล่านี้ เพื่อจะทำให้เราใช้ชีวิตกันอย่างปลอดภัย มีคุณภาพ เราเติบโตในเมืองไทยมา 35 ปี เราเติบโตมาพร้อมๆ กับคำว่า โชติช่วงชัชวาลเมื่อ 35 ปีก่อนที่ประเทศไทยค้นพบก๊าซธรรมชาติ นั่นคือคลื่นลูกใหญ่ที่ทำให้อุตสาหกรรมเราเติบโตมาถึงทุกวันนี้ จนก้าวเป็นอันดับหนึ่งของผู้นำก๊าซอุตสาหกรรมและได้รับการยอมรับจากเวทีโลกในเรื่องของความยั่งยืน”
เป้าหมายของ BIG สอดคล้องกับทุกภาคส่วนคือ การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ที่บางบริษัทวางเป้าไว้ในปี 2050 ไวกว่าเป้าหมายประเทศ และวันนี้ได้ลงมือทำไปแล้ว สามารถลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิได้ 20% และในปี 2030 จะได้ลด 30% และปี 2040 และปี 2050 จะสามารถเป็นศูนย์ จากการใช้ #Climate Technology”
สิ่งที่อยากเน้นย้ำใน 5 เรื่องคือ:
1.เทคโนโลยีการดักจับการใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) กำลังได้รับแรงขับเคลื่อน และสามารถประยุกต์ใช้ได้ในกระบวนการอุตสาหกรรมหลากหลายที่กำลังปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นเทคโนโลยีนี้จึงถือเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการลดการปล่อยคาร์บอน และการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต
2.ไฮโดรเจน โดย BIG เชี่ยวชาญและเป็นรายใหญ่สุดของโลก บริษัทแม่ลงทุน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเน้นบลูไฮโดรเจน และกรีน ไฮโดรเจน ซึ่งคืบหน้า 20-30% และพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบปี 2026-2027
3.โซลูชันลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจประเทศ
4.แพลตฟอร์ม เพื่อตอบโจทย์ภาคธุรกิจที่ตรวจจับว่าภาคอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนปริมาณเท่าไร รวมถึงการตรวจจับการใช้พลังงาน วิธีการลดคาร์บอนในรูปแบบตามความเหมาะสมของธุรกิจ และซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านแพลตฟอร์มของบีไอจีได้
5.BCG Model (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว) นำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ เพื่อตอบรับกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ที่ปัจจุบันใช้ลดการปลดปล่อยกำมะถัน บีไอจี ร่วมกับกลุ่ม บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle: FCEV) แห่งแรกของไทยที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
นวัตกรรมเปลี่ยนกรุง - อย่าไปยึดติดกับอินโนเวชันที่เป็นเทคโนโลยี
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บรรยายพิเศษหัวข้อ “นวัตกรรมเปลี่ยนกรุง” ว่า การนำเอาเทคโนโลยีนำทางคงยากเพราะคนกรุงเทพฯ มีกว่า 10 ล้านคน แต่หากนำนวัตกรรมมาใช้ก็ทำได้ เพราะนวัตกรรมเป็นไอเดีย แต่ต้องปรับความคิดให้มีมูลค่าหรือเปลี่ยนให้เป็น Value ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีมาก เพียงแค่ขอให้ปรับชีวิตคนและเพิ่มคุณค่าให้กับคนในเมืองได้ อย่าไปยึดติดกับอินโนเวชันที่เป็นเทคโนโลยี
รวมทั้งที่ผ่านมาพบว่ามีเทคโนโลยีหลายอย่างที่ไม่ได้มาจากอินโนเวชัน และหากพูดถึงความยั่งยืน คือ การไม่เบียดเบียนทรัพยากรของคนรุ่นใหม่ในอนาคตเพื่อตอบโจทย์ปัจจุบัน
"อย่าไปตอบสนองความต้องการในปัจจุบันโดยใช้ทรัพยากรในอนาคตของคนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาแล้ว เห็นได้ชัดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ"
สำหรับสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพฯ มาจาก 3 ส่วน คือ
1.การใช้พลังงาน คิดเป็น 58.9%
2.การขนส่ง คิดเป็น 28.9%
3.น้ำเสียและมูลฝอย คิดเป็น 12.3%
ทั้งนี้ เป้าหมายของ กทม.ที่วางไว้คือ ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งเป้าให้การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero)ให้ได้ราว 19% ภายในปี 2573 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยหากเป็นบริษัทขนาดใหญ่ก็ทำได้ไม่ยากนัก เพราะมีเทคโนโลยี มีเงินทุน
ขณะที่กลุ่มเอสเอ็มอีไม่มีเงินลงทุน และก็ไม่สนใจ เพราะเอสเอ็มอีสนใจเพียงว่า ธุรกิจของเขาจะรอดไหมในเศรษฐกิจแบบนี้ ดังนั้นจึงบอกว่าเอาแค่ลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 3% ต่อปี ก็น่าเพียงพอแล้ว ซึ่งเป้าหมายตรงนี้ทำได้แน่
ทั้งนี้การทำ Net zero ของ กทม.ได้กำหนดแผนการทำ 3 เรื่อง CRO คือ Calculate Reduce Offset ประกอบด้วย:
1.Calculate คำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในหน่วยงานของ กทม. โดยร่วมกับองค์การบริหารจัดการลดก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) และเริ่มใน 3 เขตก่อน คือ เขตดินแดง เขตบางขุนเทียน เขตประเวศ
2.Reduce ลด ก๊าซเรือนกระจกคือ ทำให้เมืองเดินได้ ปรับโครงสร้าง เพื่อสนับสนุนการใช้รถโดยสารสาธารณะ โดยไม่ต้องใช้รถยนต์ ใช้รถไฟฟ้า หรือปั่นจักรยาน ทำทางเท้าเพิ่ม
สำหรับสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชน การส่งเสริมอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่นการติดตั้งหลอดไฟแอลอีดี LED ประมาณ 100,000 ดวง ซึ่งลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลงและการขจัดน้ำเสีย โดยการเติมออกซิเจนลงไป
รวมถึงการแยกขยะที่ภายใน 1 ปี สามารถลดขยะได้ 300-700 ตันต่อตัน การส่งเสริมการขนส่ง และคมนาคมสะอาดเช่น การเปลี่ยนเป็นยานพาหนะต่างๆ ให้เป็นระบบไฟฟ้า EV หรืออย่างน้อยเป็น hybrid การเพิ่มการติดตั้งที่ชาร์จ EV หรือจุดแลกแบตเตอรี่ ในพื้นที่ของ กทม.การปรับผังเมืองให้ เป็นต้น
3.Offset การส่งเสริมโครงการที่เก็บกักหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่เหลืออยู่ ผ่านการส่งเสริมโครงการที่เก็บกัก หรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกโดยวิธีทางธรรมชาติ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่ง กทม.มีนโยบายปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นปลูกไปแล้ว 420,000 ต้น เพิ่มสวนใกล้บ้าน
“คนกรุงเทพฯ 10 ล้านคนไม่สามารถใช้เทคโนโลยีได้ทุกคน แต่นวัตกรรมสามารถเปลี่ยนเมือง ตอบโจทย์ได้แก้ปัญหา Climate Change ได้ และนวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีทันสมัย แต่จะเป็นคำตอบที่ช่วยเพิ่ม Value ให้กับคน โดยเอาคนเป็นที่ตั้งเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบ ต้องมีความสนับสนุนกันทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการประชาชน และเอกชน"
ไฮไลต์เทคโนโลยี “Climate Tech” ไทยควรมีเทคโนโลยีของตัวเอง
ด้านนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้มุมมองว่า ปัจจุบันทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่เกือบ 5 หมื่นล้านตันต่อปี ทำให้เกิดความกังวลหากไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ก็จะเกิดภัยพิบัติที่น่ากลัว ซึ่งในที่สุดแล้วจำเป็นต้องเเสวงหาความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่ต้องต้องพึ่งพา "เทคโนโลยี" ทั้งนี้สามารถแบ่งเทคโนโลยีที่กล่าวถึงเป็น 2 ไซต์หลักๆ คือ เทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ เทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องการปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศ
นายเกียรติชายกล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีการตั้งเป้าเรื่องของ Net Zero หรือการเลิกจะปล่อย ควบคุมก๊าซเรือนกระจกไม่ให้เพิ่มขึ้น โดยสามารถปล่อยได้เพียง 40-50 แสนตันเท่านั้น ทำให้ขณะนี้ทั่วโลกพยายามหาทางออกผ่านความร่วมมือ ออกกฎเกณฑ์เพื่อควบคุม แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดขึ้นได้คือ การกระทำของทุกคน เกิด Climate Action ต้องทำให้ทุกคนสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ และต้องจัดการที่ต้นเหตุ ต้องเลิกการปล่อยซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าอย่างมาก
"ทั่วโลกมีการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากมาย อันนำไปสู่การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ในปัจจุบันมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 50,000 ล้านตันต่อปี และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และถ้าไม่ทำอะไรจะมีการปล่อยมากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้ เวลาที่เหลืออยู่นั้นน้อยมากในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ จะทำให้อุณหภูมิเกิน 4 องศาเซลเซียส เราต้องมีเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ทำให้การปล่อยปกติลดลง และต้องปล่อยให้อยู่ในระดับ 20,000 ล้านตันต่อปี ให้ได้" ผอ.อบก. กล่าว
"เทคโนโลยีพลังงานทดแทน (Renewable Energy Technology) เป็นตัวเทคโนโลยีที่เราต้องมีและต้องทำ เพื่อช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ในกลุ่มพลังงาน และเป็นความท้าทายในการทำนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ในประเทศ เช่นเดียวกับเทคโนโลยีเพื่อการดูดซับกักเก็บคาร์บอน ที่ไม่ใช่เพียงการปลูกต้นไม้ทดแทน แต่ต้องใช้เทคโนโลยี Biochar (ถ่านชีวภาพ) หรือการอัดคาร์บอนลงไปในดิน ต้องมีการใช้พื้นดินมากักเก็บคาร์บอน เป็นต้น"
นายเกียรติชาย กล่าวต่อว่า จะเป็นการดีที่สุดหากเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากฝีมือคนไทย ไม่ใช่นวัตกรรมที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ อย่าง เทคโนโลยี Biomass Energy(พลังงานชีวภาพ) ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากพืชมาเป็นเชื้อเพลิง หรือเทคโนโลยีที่สามารถคาดการณ์ภูมิอากาศประจำวันได้ยาวที่สุดและถูกต้อง เทคโนโลยีป้องกันน้ำท่วม เทคโนโลยีในการผลิตน้ำประปาเพื่อบริโภค อาหารที่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเพื่อหาพันธุ์พืชใหม่ๆ และรักษาพันธุ์พืชเดิมไว้
"สิ่งที่ อบก.ดำเนินการมาตลอดคือ การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และผลที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องมีเทคนิค MRV (คู่มือระเบียบวิธีระบบการตรวจวัด การรายงาน และการทวนสอบ ) ที่จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคป่าไม้ โดยรูปแบบพลังงานที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีหลายแบบ เช่น Green hydrogen หรือ Blue hydrogen EV Green เป็นต้น"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความท้าทาย จะต้องมีเรื่องของการทำอย่างไรให้นวัตกรรม เทคโนโลยีมีราคาถูก และกระบวนการต้องไม่มีปัญหากับสิ่งแวดล้อม และสร้างงานใหม่
อบก.มีโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยมีมากกว่า 50 วิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะแตกต่างกัน แต่ใช้ได้ผล และมีวิธีการคำนวณที่จะเป็นแพลตฟอร์ม อาทิ การประเมินต้นไม้จะใช้เทคโนโลยีมาคำนวณ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"ถ้าประเทศไทยมีเทคโนโลยีของตนเองเกิดเป็น Climate Tech Thailand ไม่ต้องไปซื้อต่างประเทศ โดยเริ่มจากงานวิจัย และไม่ต้องไปคิดเรื่องไกลตัว แต่คิดในสิ่งที่เราทำได้จะช่วยให้ประเทศช่วยลดโลกร้อน และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ "นายเกียรติชาย กล่าว
นอกจากนั้นแล้ว เทคโนโลยีที่ทั่วโลกให้ความสนใจมี 5 เทคโนโลยี ได้แก่
- ยานยนต์ไฟฟ้า (Electrification)
- นวัตกรรมการเกษตร (Agricultural Innovation)
- ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Power Grid
- พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen)
- เทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนด์ไดออกไซด์ (Carbon Capture)
10 เทคโนโลยีที่โดดเด่น
“เทคโนโลยีที่ไฮไลต์มาวันนี้ ถือเป็นทางเลือกที่เป็นคำตอบว่า วันนี้ทุกคนต้องแสวงหาให้มีต้นทุนต่ำที่สุด จริงๆ ถึงเเม้ว่าเรื่องปลูกต้นไม้เป็นอันดับหนึ่งเเต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องมาเเสวงหาเทคโนโลยี ท้ายที่สุดเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทย"