เซ็นทรัลพัฒนา รายงานผลประกอบการไตรมาส1 ปี 2564 รายได้รวม 9,528 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,835 ล้านบาท เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินเตรียมพร้อมต่อความท้าทายจากโควิด 19 รอบใหม่
• ดำเนินมาตรการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้า ร้านค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ชุมชน และผู้ถือหุ้น • ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน เพื่อให้สถานการณ์ฟื้นตัวให้เร็วที่สุด • ลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างเมืองและพัฒนาประเทศ เตรียมเปิดเซ็นทรัล ศรีราชา และอยุธยา ปีนี้ และเซ็นทรัล จันทบุรี กลางปี 2565 และดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ทยอยเปิดปี 2566-67 เป็นต้นไป ตามแผนที่วางไว้
กรุงเทพฯ : บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ “CPN” รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไร ท่ามกลางสถานการณ์อันท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด19 โดยไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีรายได้รวม 9,528 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,835 ล้านบาท สะท้อนถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่งจากการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนอย่างมืออาชีพ และยังคงดูแลช่วยเหลือผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังประกาศเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ เซ็นทรัล อยุธยา และ เซ็นทรัล ศรีราชา ที่เตรียมเปิดภายในปีนี้ และเซ็นทรัล จันทบุรี กำหนดเปิดภายในกลางปี 2565
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับไตรมาส 1 ปี 2564 เซ็นทรัลพัฒนายังคงรักษาความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรได้ท่ามกลางสภาวะที่โรคโควิด 19 ยังคงแพร่ระบาดอยู่ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 9,528 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,835 ล้านบาท แม้ว่าผลการดำเนินงานจะมีรายการที่มิได้เกิดขึ้นเป็นประจำและผลกระทบจากมาตรฐานรายงานทางการเงินใหม่ จึงทำให้รายได้และกำไรลดลง 17% จากปีก่อนทั้งคู่ แต่ในภาพรวมนั้นบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นมืออาชีพ โดยดำเนินมาตรการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง ประกอบกับการลดต้นทุนในการดำเนินงาน และควบคุมค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายทางการตลาด เพื่อรักษาสภาพคล่องของกระแสเงินสด และเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน อีกทั้งปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน และยังคงให้ความช่วยเหลือผู้เช่า ร้านค้าในศูนย์ฯ โดยจัดแคมเปญและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ และการเพิ่มช่องทางการขายให้ผู้เช่าแบบ Omnichannel เช่น บริการ Chat & Shop และ Take Away Delivery นอกจากนี้ ยังช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SME) กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 โดยการเปิดพื้นที่ฟรีให้จำหน่ายสินค้า ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่ปกติดี”
จากการที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 รอบใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นมา เซ็นทรัลพัฒนายังคงให้การดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ร้านค้า ผู้เช่า พันธมิตรทางธุรกิจ ชุมชน ผู้ถือหุ้น และกลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ เซ็นทรัลพัฒนาได้ร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดเตรียมพื้นที่ในศูนย์การค้าสำหรับการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากที่สุด เพื่อให้สถานการณ์ฟื้นตัวได้อย่างไวและการใช้ชีวิตของประชาชนกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น รวมทั้งได้วางแผนจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ส่งเสริมให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนา 3 โครงการบิ๊กมิกซ์ยูส ได้แก่ เซ็นทรัล อยุธยา และ เซ็นทรัล ศรีราชา ที่เตรียมเปิดภายในสิ้นปีนี้ และเซ็นทรัล จันทบุรี ที่เตรียมเปิดภายในกลางปี 2565 โดยเราตั้งเป้าให้ทั้ง 3 บิ๊กมิกซ์ยูสนี้ช่วยต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐในอนาคต ยกระดับเมืองศักยภาพสูงทั้ง 3 จังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สร้างอัตราการจ้างงาน และช่วยให้เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวดีขึ้นได้ โดยทั้ง 3 โครงการนี้จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และชูอัตลักษณ์ของจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) บนทำเลทอง “ซุปเปอร์คอร์ ซีบีดี” ในกรุงเทพฯ ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป อีกด้วย”
ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 18 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก (ทาวน์โฮม) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ นีรติ เชียงราย และนีรติ บางนา โดยโครงการดังกล่าวได้รวมส่วนที่อยู่ภายใต้บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ที่เซ็นทรัลพัฒนา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ที่ดำเนินการแล้ว และสินทรัพย์ที่รอการพัฒนาอยู่บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ
สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2564-2568) บริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธอย่างทันท่วงทีให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ และเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องในแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้ประกาศ ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน บริษัทฯ ยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน