
สำรวจ CEDM โมเดลข้อมูลเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้วยการเปิดตัวและนำร่องใช้งานโมเดลข้อมูล Creative Economy Data Model (CEDM) อย่างเป็นทางการ โดยความร่วมมือระหว่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA), กรมทรัพย์สินทางปัญญา (DIP) และ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization: WIPO) ซึ่งจัดขึ้นในงานสัมมนา “Creative Economy Data Model: Mapping Ecosystem Potential” ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบกรุงเทพฯ (TCDC กรุงเทพฯ) ระหว่างวันที่ 19 - 20 มีนาคม 2568
งานสัมมนานี้ไม่ใช่แค่เวทีแลกเปลี่ยนความรู้เท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญในการพลิกโฉมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยใช้ "พลังของข้อมูล" เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ กุญแจสู่การเติบโตในอนาคต
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไม่ได้อาศัยทรัพยากรแบบดั้งเดิม แต่ขับเคลื่อนด้วย “นวัตกรรม (Innovation)” และ “จินตนาการ (Imagination)” ซึ่งกลายเป็นปัจจัยหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ประเทศไทยเองก็มองเห็นศักยภาพนี้อย่างชัดเจน
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 15 สาขา โดยในปี 2566 มีมูลค่ารวมกว่า 1.44 ล้านล้านบาท คิดเป็น 8.01% ของ GDP ประเทศ และสร้างการจ้างงานมากกว่า 1 ล้านตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก จำเป็นต้องมีระบบข้อมูลที่แม่นยำ เพื่อใช้ประเมินศักยภาพและออกแบบนโยบายได้ตรงเป้าหมาย WIPO จึงได้พัฒนา Creative Economy Data Model (CEDM) ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยประเมินศักยภาพของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ (Data-Driven Approach)
สำรวจ CEDM โมเดลข้อมูลเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย อย่างไร?
การที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นประเทศนำร่องในการใช้ CEDM ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างความได้เปรียบเชิงนโยบายและการแข่งขัน
CEDM จะเข้ามาช่วยให้ภาครัฐและภาคเอกชนสามารถวิเคราะห์ศักยภาพของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในแต่ละสาขา ผ่านการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนได้แม่นยำและตรงเป้าหมาย
สามารถสร้างดัชนีชี้วัด (Creative Economy Index) เพื่อวัดความก้าวหน้าของเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และมีส่วนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและแพลตฟอร์มข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยมีเป้าหมายจะใช้ CEDM ในการขยายศักยภาพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ, สังคม และ วัฒนธรรม เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
ถอดบทเรียนกรณีศึกษาจากโคลอมเบีย
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานสัมมนาคือการนำเสนอกลยุทธ์ “Data-Driven Cultural Policy” จาก โคลอมเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
โคลอมเบียสามารถพลิกโฉมอุตสาหกรรมดนตรี, ศิลปะ, และงานฝีมือ โดยใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ความต้องการของตลาด, เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการท้องถิ่น และขยายตลาดเชิงพาณิชย์ไปสู่เวทีโลก ซึ่งเป็นโมเดลที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้
เสียงสะท้อนจากผู้นำเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับโลก
งานสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรระดับโลก เช่น
• Ms. Sylvie Forbin – รองผู้อำนวยการใหญ่ WIPO
• Mr. Dimiter Gantchev – รองผู้อำนวยการและผู้จัดการอาวุโส WIPO
• นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร – ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
• นางสาวนุสรา กาญจนกูล – อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
• ดร. ชาคริต พิชญางกูร – ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ความคาดหวังต่อนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
การทดลองใช้ CEDM ในประเทศไทยจะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถกำหนดแนวทางส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโมเดลดังกล่าวมีความโดดเด่นทางองค์รวม (Holistic Approach) ซึ่งสามารถวัดผลได้จริง และเป็นประโยชน์ต่อทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย
และที่สุดแล้วข้อมูลที่วัดผลได้นี้อาจพลิกศักยภาพการแข่งขันเชิงพาณิชย์ในตลาดโลกได้