posttoday

กรมควบคุมโรครับผลข้างเคียงจาก 'แอสตร้าฯ' เกิดได้จริง หลังฉีด 5-42 วัน

02 พฤษภาคม 2567

อธิบดีกรมควบคุมโรค รับภาวะลิ่มเลือดอุดตันเป็นผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ ซึ่งทั่วโลกทราบมาก่อน เผยคนไทยฉีดในช่วงภาวะฉุกเฉิน 20 ล้านคน พบมีผู้ป่วยลิ่มเลือดอุดตันที่เข้าข่ายอาจเกิดจากวัคซีน 7 ราย เสียชีวิต 2 ราย ย้ำปัจจุบันไม่ถูกใช้เป็นวัคซีนในภาวะปกติ

วันนี้ (2 พ.ค.2567) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีผลข้างเคียงหลังรับ วัคซีนโควิด ชนิดไวรัลเวคเตอร์ ของ "แอสตร้าเซนเนก้า" ที่พบภาวะลิ่มเลือดอุดตัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ว่า เรื่องของผลข้างเคียงจากวัคซีน เป็นสิ่งที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยรับทราบมาก่อนอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาเรามี คณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องของการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มที่เหมาะสมอยู่ (อ่าน ไม่ใช่ข้อมูลใหม่! วัคซีน 'แอสตร้า' ก่อลิ่มเลือด WHO ระบุชัดตั้งแต่ปี 2021)

หากย้อนกลับไปในช่วงที่มีการนำวัคซีนเข้ามาใช้ วัคซีนทุกชนิดที่ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นแบบ การใช้ในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Use) เพื่อยับยั้งการระบาดของโรค  ซึ่งวัคซีนตัวแรกที่ใช้คือ วัคซีนเชื้อตายของ "ซิโนแวก"

ขณะที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปไม่ยอมรับวัคซีนดังกล่าว จะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเท่านั้น ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ ส่วนวัคซีน mRNA ก็ยังไม่ได้มีการผลิตออกมาใช้

 

  • ภาวะลิ่มเลือด เกิดหลังฉีด 5-42 วันเท่านั้น ถ้าพ้นมานานคือไม่ใช่อาการจากวัคซีน

ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีน "แอสตร้าเซนเนก้า" ทั้งหมด 48 ล้านโดส โดย 1 คน ฉีด 2 โดส ดังนั้นมีผู้รับวัคซีนประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเข็มสุดท้ายที่ฉีดคือเมื่อเดือนมี.ค.2566  

ขณะที่ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังการฉีดวัคซีน เกิดขึ้นหลังการรับวัคซีน 5-42 วัน เท่านั้น หากภาวะลิ่มเลือดอุดตันเกิดขึ้นหลังจากนั้น ไม่น่าจะใช่อาการที่เกิดจากวัคซีน จึงขอให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ อย่ากังวล 

"ภาวะดังกล่าวหลังการฉีดวัคซีนนั้นเกิดขึ้นได้ทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทย ก็มีรายงานผู้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังการรับวัคซีนแอสตร้าฯ 23 ราย แต่คณะอนุกรรมการพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลักการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 พิจารณาแล้ว พบว่ามีผู้ป่วยลิ่มเลือดอุดตันที่เข้าข่ายอาจเกิดจากวัคซีน 7 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 ราย" นพ.ธงชัย กล่าว

 

  • จ่อพิจารณาใช้วัคซีนเฉพาะกลุ่มเสี่ยง

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง แผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ในประเทศไทย ว่า การดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ดำเนินการตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยช่วงก่อนหน้านี้ ดำเนินการภายใต้ภาวะฉุกเฉินซึ่งขณะนั้นโรคโควิด 19 ถูกประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง การจัดหาวัคซีนจึงใช้งบประมาณของแผ่นดินและฉีดให้กับประชาชนฟรีเพื่อยับยั้งการระบาดของโรค 

สำหรับ โควิด-19 ในประเทศไทยถูกยกเลิกให้เป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว อีกทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ จึงไม่ได้มีการจัดสรรให้ฟรีประชาชน แต่ก็อยู่ระหว่างการพิจารณา ว่าจะมีการฉีดให้กับ กลุ่มที่มีความจำเป็น ได้หรือไม่ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง ยากไร้ ในลักษณะของความสมัครใจ เพราะอยากรู้ผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง ยังมีข้อมูลพบว่า ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 เป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด

วัคซีนที่มีการใช้ในประเทศไทยก่อนหน้านี้เป็นแบบ Emergency Use รัฐต้องจัดหามาฉีดให้กับประชาชน แต่ตอนนี้สถานการณ์คลี่คลาย โควิดไม่ใช่โรคติดต่ออันตรายอีก การใช้วัคซีนจะต้องอยู่ในรูปแบบของวัคซีนในภาวะปกติคือจะต้องเป็นวัคซีนที่ผ่านกระบวนการ ศึกษา ผลดีผลเสีย ผลกระทบต่างๆ และนำมาขออนุญาตขึ้นทะเบียนใช้ กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  

"ขณะนี้มีวัคซีนเพียงตัวเดียวที่ขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะปกติในประเทศไทยคือวัคซีน mRNA ของไฟเซอร์ ดังนั้นหากจะนำวัคซีนเข้าชุดสิทธิประโยชน์ก็จะต้องมีข้อมูลต่างๆ และนำเข้าตามขั้นตอน ซึ่งเรื่องนี้ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติจะนำข้อมูลและผลักดันต่อไป"นพ.ธงชัย กล่าว

ส่วนกรณี ก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวว่า วัคซีนชนิด mRNA มีผลกระทบ เกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกาย นพ.ธงชัย กล่าวว่า วัคซีนที่มีการนำเข้ามาใข้ก่อนหน้านี้ เป็นการใช้ภายใต้ภาวะฉุกเฉิน ก็มีผลกระทบ ผลข้างเคียง ตัวนี้ก็จะเจอผลกระทบมากแถวอเมริกา