แพทย์จุฬาฯ แนะไทยควรผลักดันมาตรฐาน PM2.5 ตามเกณฑ์ WHO ลดผู้ป่วยมะเร็ง 44%
แพทย์จุฬาฯ ชี้ควรผลักดันมาตรฐานฝุ่นPM2.5 ของไทยให้มีความปลอดภัยเท่ามาตรฐาน WHO แนะนำที่ 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร จาก 37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เนื่องจากงานวิจัยชี้ชัดช่วยเซฟจำนวนผู้ป่วยมะเร็งได้กว่า 44% นอกจากนี้ยังพบจำนวนผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดสูงในช่วงPM2.5
อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย สิรินารา อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกัน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวบนเวที 'จุฬาฯระดมคิด พลิกวิกฤต PM2.5' ในประเด็นผลกระทบทางด้านสุขภาพของประชาชน โดยมีใจความตอนหนึ่งเสนอความเห็นผลักดันให้ประเทศไทยทำให้เกิดค่ามาตรฐานฝุ่นPM2.5 เทียบเท่ากับมาตรฐานของ WHO ที่ 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เนื่องจากมีผลวิจัยหลายแห่งพบว่าสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมะเร็ง
งานวิจัยชี้ช่วงฝุ่นPM2.5 มีผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดมาที่ห้องฉุกเฉินพุ่งสูง
อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย กล่าวว่า อาการหลังจากสัมผัส PM2.5 มีอยู่ 2 ลักษณะคือ อาการฉับพลัน และอาการเรื้อรัง สำหรับอาการฉับพลัน คือ มีอาการไอแห้ง ระคายเคืองตา ผื่นคันตามตัว หรืออาการหอบหืดกำเริบ ส่วนผลกระทบเรื้อรัง เนื่องจากPM2.5 มีขนาดเล็กมาก และสามารถเข้าไปที่ปอดส่วนที่เป็นหลอดลมลึกที่สุด ผ่านเข้ากระแสเลือด จึงทำให้เกิดอาการหลอดลมอักเสบ และกลายเป็นมะเร็งปอดได้
ในผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางเช่น เด็กเล็ก จะเกิดหอบหืดฉับพลัน เลือดกำเดาไหล ส่วนหญิงตั้งครรภ์ ทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ และในผู้สูงอายุ ระบบหายใจหอบหืดกำเริบ ถุงลมโป่งพอง และอาจเป็นมะเร็งซึ่งต้องตามต่อในระยะยาว นอกจากนี้ สถิติจากกรมควบคุมโรค พบว่าคนที่มารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน มีตัวเลขสูงขึ้นมากอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และหอบหืด ในฤดูฝุ่น
สาเหตุของมะเร็งนั้นเกิดจากการสูดฝุ่น PM2.5 แม้ว่าจะรู้สึกแข็งแรงไม่เป็นอะไร แต่การสูดเข้าไปบ่อยๆ จะทำให้เซลล์อักเสบเรื้อรัง และเกิดเป็นมะเร็งได้ในที่สุด
แนะควรใช้มาตรฐานฝุ่นPM2.5 ให้เท่ากับมาตรฐานสากล ลดการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมะเร็งได้กว่า 44%
อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย มองว่ามาตรการที่จะทำให้ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากฝุ่นดีขึ้นได้มากกว่านี้คือ ค่าฝุ่นที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานของประเทศแต่เดิมประเทศไทยใช้ที่ 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และเพิ่มปรับลดลงมาที่ 37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร แต่ยังไม่ใช่ค่ามาตรฐานที่ WHO แนะนำไว้เพื่อความปลอดภัยของประชาชนซึ่งมีค่าอยู่ที่ 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
หากสามารถปรับลดลงมาได้ และมีวิธีการบริหารจัดการค่าฝุ่นตามเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด จากงานวิจัยพบว่าจะสามารถเซฟจำนวนผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งได้ถึง 44% หรือหากกำหนดให้ค่าน้อยกว่า 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร จะสามารถเซฟให้ประชาชนไม่เป็นมะเร็งถึง 17%
เพราะฉะนั้นจึงอยากผลักดันนโยบายภาครัฐส่วนนี้ในเรื่องเกณฑ์ความปลอดภัย ให้ใกล้เคียงกับระดับขององค์การอนามัยโลกมากขึ้น
มาตรการเดิมๆ ไม่สำเร็จอย่างแน่นอน
ด้าน รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ยืนยันว่าหากอยากลดค่าฝุ่น มาตรการเดิมๆ ไม่สำเร็จแน่ สำหรับในเมืองถ้าจะลดลงไปได้อีก จะต้องทำให้การเดินทางเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กลับไปเรื่องขนส่งสาธารณะ ที่ไม่ใช่แค่ระบบรถไฟฟ้าเท่านั้น แต่การเดินทางจากบ้านไปยังรถไฟฟ้าต่างๆ ต้องมีความสามารถที่จะลดฝุ่นได้ ทางเดินเท้าต้องสะดวก ทางจักรยานต้องไม่ใช่แค่ขีดเส้นและมีรถจักรยาน แต่ต้องมีระบบนิเวศของระบบจักรยาน ถนนต้องแบ่งปันกัน เป็นต้น
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ต้องมีการจัดทำ PRTR คือ การทำบัญชีว่าแต่ละโรงงานปล่อยอะไรเท่าไหร่ มีสารเคมีอะไรเก็บอยู่บ้าง รวมถึงอุตสาหกรรมที่หลุดรอดจากนิยามโรงงาน มีหลายพันโรงที่หลุดจากนิยามตรงนั้นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมไม่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม จึงตกเป็นภาระหน้าที่ของท้องถิ่น เพื่อที่จะควบคุมได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้รู้ว่าโรงงานอุตสาหกรรมมีการระบายมลพิษมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ บนเวทีเสวนาดังกล่าวยังได้สรุปว่าการจะแก้ไขปัญหา PM2.5 ได้ต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุหรือแหล่งกำเนิดมาจากสิ่งใด โดยจุฬาฯ ได้มีการวิเคราะห์องค์ประกอบสำหรับกรุงเทพมหานครและพบว่า สาเหตุสำคัญของการเกิดฝุ่น PM2.5 คือ จากการจราจร 50% รองลงมาคือจากโรงงานอุตสาหกรรม บ่งชี้ด้วยสารเคมีที่วิเคราะห์ได้ นอกจากนั้นก็มีแหล่งกำเนิดร่วม เช่น การเผาในที่โล่ง ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่ามาจากนอกกทม.
อยากฝากว่าคนที่แก้ปัญหาควรจะลงพื้นที่ ว่าคนในพื้นที่มีวิถีอย่างไรและสามารถปรับเปลี่ยนและดำเนินชีวิตอย่างสะดวกหรือไม่ ไม่ใช่ว่าสั่งห้ามทำอะไรไปเลย เพราะที่ผ่านมาอย่างเช่น การสั่งห้ามเผา เป็นไปได้ชาวบ้านก็ไม่อยากเผา เราควรจะมีแนวทางอื่นให้แก่เกษตรกรในการจัดการ