ญี่ปุ่นขึ้นทะเบียน GI สับปะรดห้วยมุ่น ผลไม้กลายพันธุ์จากอุตรดิตถ์
"สับปะรดห้วยมุ่น"ผลไม้ไทยรายแรก ได้รับการขึ้นทะเบียน GIทางการญี่ปุ่น เป็นสินค้าเกษตร รายการที่3 ต่อจากกาแฟดอยช้างและดอยตุง ผู้ประกอบการมากกว่า850 ราย เห็นอนาคตสดใสสร้างมูลค่าตลาดกว่า 1,200 ล้านบาท
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “สับปะรดห้วยมุ่น”เป็นผลไม้ไทยรายแรกที่ได้รับ การขึ้นทะเบียน สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของประเทศญี่ปุ่นถือเป็น สินค้าเกษตรรายการที่ 3 ได้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI จากกาแฟดอยช้าง และกาแฟดอยตุง
“สับปะรดห้วยมุ่น”มีเอกลักษณะเด่นเรื่องของเนื้อที่หนาและนุ่ม รสชาติหวาน พร้อมทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้เป็นที่ต้องการสำหรับผู้บริโภคญี่ปุ่น โดยประเทศไทยผู้ประกอบการมากกว่า 850 ราย ที่กำลังการผลิตกว่า 180,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 1,200 ล้านบาท รัฐบาลมั่นใจการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(GI) เป็นการเริ่มต้นเพื่อยกระดับและพัฒนาการประกันคุณภาพให้กับสินค้า ช่วยให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นได้มั่นใจ เพิ่มการบริโภค สับปะรดห้วยมุ่น มากขึ้น
นอกจากสินค้าด้านการเกษตรสับปะรดสด ที่ได้รับความนิยมแก่ผู้บริโภคของประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐบาลยังได้พบว่า ตลาดการนำเข้าสับปะรดของประเทศญี่ปุ่นยังมีความต้องการสับปะรดแปรรูปสูงเช่นเดียวกัน เช่น น้ำสับปะรด สับปะรดกระป๋อง และสับปะรดอบแห้ง โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญในการส่งออกสับปะรดมากเป็นอันดับ 4 รองจากฟิลิปปินส์ คอสตาริกา และอินโดนีเซีย ซึ่งประเทศไทยจะสามารถ นำเอาประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ในการลดภาษีนำเข้า เพื่อเพิ่มความได้เปรียบให้กับการส่งออกสับปะรดของประเทศได้
“กรมทรัพย์สินทางปัญญา เร่งเดินหน้าสานต่อความร่วมมือเพื่อขยายตลาดการค้า การขึ้นทะเบียนสินค้า GI ในรายการใหม่ ๆร่วมทั้งความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ร่วม ระหว่างประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาเป็นแนวทางการพัฒนาการทำตลาดกลางสินค้าเกษตร ขยายตลาดผักผลไม้ไทยสู่ญี่ปุ่นให้ได้เพิ่มมากขึ้น” นายคารม กล่าว
สับปะรดห้วยมุ่น เป็นสินค้าเกษตร ผลไม้ไทยขึ้นชื่อ ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เมื่อ 17 มิถุนายน 2556 ชาวบ้านได้นำสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียมาปลูกใน ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด แล้วเกิดการกลายพันธุ์ รสชาติหวานอร่อย รับประทานแล้วไม่ระคายคอ.