"เอกนัฏ" เชื่อจีดีพีไทยโต 5% แน่ เห็นแสงสว่างจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ
เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ คาดจีดีพีไทยโตเป็น 5% แน่ หากร่วมกันเคลื่อนเศรษฐกิจ เห็นแสงสว่างจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ พร้อมเร่งภารกิจฟื้นความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมไทย อัพเกรดธุรกิจโตแบบสุจริต ยั่งยืน
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานถ่ายทอดนโยบายการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยในปี 2568 ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank หัวข้อ “เซฟ & สร้าง ผู้ประกอบการ SMEs ก้าวสู่ความยั่งยืน” ว่า
ภารกิจการฟื้นอุตสาหกรรม เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ผมมารับช่วงต่อในยามที่กระทรวงได้รับภารกิจใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ฟังก์ชั่นที่อยู่ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้มาก ถ้าเราจะทำงานใหญ่ให้สำเร็จ ต้องทำงานร่วมกับพันธมิตรภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งยังต้องสร้างความสามัคคีในกระทรวงอุตสาหกรรมเองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และไปในทิศทางเดียวกัน
สิ่งที่น่าห่วงคือ ประเทศไทยวันนี้เป็นประเทศที่รูปลักษณ์หน้าตาดูสวย ดูดีมาก น่าเที่ยว และดูเป็นมิตรกับนักลงทุน แต่ทำไมจีดีพีประเทศ เมื่อเทียบกับประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกันถึงต่ำกว่า ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านจีดีพีโต 4% , 5% ไทยพยายามดันจีดีพีมาก อย่างปีที่ผ่านมาจีดีพี 3% นั่นจึงเป็นที่มาที่ต้องมาดูว่าปัญหาเราคืออะไร สิ่งที่สามารถทำได้คืออะไร
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า มักจะพูดอยู่เสมอว่าไทยเป็นประเทศที่ดีในการลงทุน โลเคชั่นเป็นเบอร์หนึ่งในภูมิภาค สามารถเชื่อมเหนือลงใต้ได้หมด มีไม่กี่ประเทศที่มีภูมิศาสตร์ดีแบบนี้ ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลตั้งงบในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเยอะมาก โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งถนน ท่าอากาศยาน ท่าเรือ มีการลงทุนไปสู่พื้นที่ที่เป็นเศรษฐกิจพิเศษ มองว่าวันนี้ถึงเวลาที่ควรใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่เราลงทุนไป
ไทยเป็นประเทศอยู่เป็น
นอกจากนี้ นายเอกนัฏ ยังได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกว่า ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ เพราะแต่ละประเทศมีความเชื่อมโยงกันหมด เช่นเดียวกับผลการเลือกตั้งที่สหรัฐฯ ได้ผู้นำคนใหม่ก็ส่งผลกระทบต่อการ ทำมาค้าขายของคนทั้งโลก หรือแม้แต่การถูกดิสรัปชั่นของเทคโนโลยี สงครามการค้า ความขัดแย้งต่าง ๆ ทั่วโลก ก็ส่งผลกระทบต่อไทย
ทุกวิกฤตหรือทุกการเปลี่ยนแปลงมักจะมีโอกาสสำคัญ หากเราดูประวัติศาสตร์ ทุกประเทศที่เป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจทั่วโลกล้วนแต่ผ่านวิกฤตมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯ ทุกประเทศผ่านวิกฤตทางการเงิน ผ่านวิกฤตสังคม เศรษฐกิจ การเมืองมาแล้วทั้งนั้น
จริง ๆ แล้วประเทศไทยน่าจะพ้นวิกฤตมาแล้วไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ตนมองว่าวันนี้ไทยพร้อมที่จะตอบรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ทั่วโลกพูดว่าธุรกิจที่สามารถอยู่รอด เฟื่องฟูได้ ท่ามความเปลี่ยนแปลงคือประเทศที่มี Resilience ซึ่งหมายถึงความอยู่เป็น ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่เป็น เพราะไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ปัญหาแบบไหน เราสามารถพาตนเองไปสู่ความอยู่รอดได้เสมอ นี่คือประเทศไทย ที่สามารถรักษาความเป็นเอกราชได้
ถ้าดูเครื่องยนต์ เศรษฐกิจวันนี้ตั้งแต่โควิดเราสะสมหนี้สาธารณะสูงมากแตะเพดานถึง 70% รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่สะสมมาตั้งแต่โควิดส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอย แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปหลากหลายวิธีก็ตาม
พลิกฟื้นภาคอุตสาหกรรมเป็นพระเอกขับเคลื่อนประเทศ
นายเอกนัฏกล่าวอีกว่า ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม เสนอรัฐบาลว่า นี่คือโอกาสสำคัญที่จะพลิกฟื้นให้ภาคอุตสาหกรรมกลับมาเป็นพระเอก เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
"ถ้าเราหวังให้จีดีพี โตขึ้นจาก 3% ไปถึง 5% โดยที่ภาคอุตสาหกรรมจะเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนให้จีดีพีของประเทศโตขึ้น 1% โดยไม่ใช้เงินของรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว ทำได้หรือไม่? ผมว่าทำได้ถ้าเราช่วยกัน ถ้าเราเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และรู้ว่าประเทศไทยจะต้องปรับตัว เพื่อที่จะสอดรับโอกาสใหม่ๆ เข้ามาให้ได้"
ดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติอัพเกรดอุตสาหกรรมไทย
ที่สำคัญเราต้องดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) เข้ามาเพื่อจะฟื้นและปรับอัพเกรดภาคอุตสาหกรรม เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อที่จะผลิตและส่งออกไป เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจในอนาคต แต่เอาเงินของเขามาแล้ว จะทำประโยชน์ให้ประเทศไทย หรือทำประโยชน์ให้ธุรกิจไทยมากน้อยขนาดไหน
นั่นคือสิ่งที่เราต้องพยายามช่วยกัน ทำให้เม็ดเงินลงทุนที่เข้ามาดันจีดีพีให้โตขึ้นมากที่สุด อย่าคิดแค่เรื่องการเก็บภาษี การเก็บเงินภาษีเป็นเรื่องเก่า แต่ในโลกยุคใหม่ ถ้าจะทำให้ตัวเม็ดเงินลงทุนส่งต่อไปถึงการเจริญเติบโตให้มากขึ้น
เราต้องคิดเรื่อง R&D,การนำเทคโนโลยีขั้นสูง สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้และทำธุรกิจให้เก่ง ต้องเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับอาชีพใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้จีดีพีเราโตขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนที่เข้ามา
เร่งปฏิรูปอุตสาหกรรม
ตลอด 4-5 เดือนที่ผ่านมา ได้ใช้กฏหมายในการกวาดล้างอุตสาหกรรมสีเทา สีดำ ผิดกฏหมายที่สร้างค่านิยม สร้างภาพลักษณ์ไม่ดี ลดความเชื่อมั่นต่อภาคอุตสาหกรรมไทย เช่น ลักลอบสินค้าไม่ได้มาตรฐาน จากต่างประเทศ มาขายในไทย
ทั้งนี้ยังได้พยายามสร้างค่านิยมที่ดีกับอุตสาหกรรมไทย เช่น ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบในภาคอุตสาหกรรม เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้างขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ขายสินค้ากับตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมอยากซื้อของที่ถูกที่สุด แต่เปลี่ยนเป็นซื้อของที่มีคุณภาพ ผลิตจากโรงงานที่มีความรับผิดชอบ
รวมถึงได้ปรับกฏหมายเกี่ยวกับการสนับสนุนให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยไม่ต้องขออนุญาต ปรับกฏหมายโรงงานให้ทำธุรกิจแบบสุจริต มีความรับผิดชอบ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นมิตรกับประชาชน
เห็นแสงสว่างจาก FDI
อย่างไรก็ตาม นายเอกนัฏ ยังได้ทิ้งท้าย ฝากถึงธนาคารฯ ให้ช่วยดูแลธุรกิจรายเล็ก ๆ ซึ่งทุดการเปลี่ยนแปลงวันนี้มีต้นทุน
แต่เอสเอ็มอี แค่อยู่ให้ได้กำไรก็เหนื่อยแล้ว ถ้าจะมาลงทุนอื่น ๆ เช่น จะใช้เอไอ ดิจิทัลช่วยการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเพิ่มขีดความสามารถตนเองก็ยากเพราะทุกอย่างมีต้นทุน หวังให้ธนาคาร ช่วยปล่อยกู้ เงิน เพื่อให้เขาลงทุนในภารกิจเหล่านั้นได้
และการส่งต่อเทคโนโลยี จากเม็ดเงินลงทุนที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักส์เตอร์ เอไอ ได้รับยอดส่งเสริมการลงทุนจาก BOI สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ แปลว่าธุรกิจขนาดใหญ่กำลังเข้ามาในประเทศไทย ธนาคารจะช่วยให้เอสเอ็มอี เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่กับธุรกิจเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะมีหลายอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาลงทุน กำลังเกิดโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมประเทศ
ทั้งนี้ วันนี้เราเห็นแสงสว่าง ยังมีความหวังที่เศรษฐกิจประเทศจะโต 5% เทียบเคียงกับประเทศใกล้เคียงได้