ธุรกิจไม้ดอก-ไม้ประดับโตแรง ส่งออกมูลค่าแตะ 9.3 พันล้าน
ธุรกิจไม้ดอก-ไม้ประดับ โตแรง ส่งออกมูลค่าแตะ 9,325 ล้าน กล้วยไม้ยังครองแชมป์ตลาดโลก ปี 2568 ผู้ประกอบการต้องก้าวสู่ Smart Farming กุญแจสู่ความยั่งยืน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้รายงาน วิเคราะห์ธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่าธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น มีทิศทางการสร้างผลประกอบการที่เติบโต
แบ่งเป็นกลุ่มผลิต อาทิ ทำสวนไม้ประดับ ปลูกพืช เพาะพันธุ์ ปลูกกล้วยไม้ และไม้ดอกต่างๆและกลุ่มขาย อาทิ ขายส่ง-ขายปลีกดอกไม้ ต้นไม้ เมล็ดพันธุ์พืช
โดยกลุ่มขายเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพอย่างมาก ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ไทยสามารถส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ เป็นมูลค่าสูงถึง 9,325 ล้านบาท ไปประเทศสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และญี่ปุ่น
โดยกว่าครึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกของกล้วยไม้ไทย 5,434 ล้านบาท ซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลกมาอย่างยาวนาน โดยส่งออกไปประเทศจีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
ปัจจุบัน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 มีนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นจำนวน 2,993 ราย (แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย)
มูลค่าทุนจดทะเบียน 17,670 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 4,213 ล้านบาท และกลุ่มขาย 13,457 ล้านบาท) ในปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 91,501 ล้านบาท
โดยเฉพาะกลุ่มขาย ในปี 2566 สร้างรายได้สูงถึง 87,376 ล้านบาท และกำไร 2,473 ล้านบาท
ตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา (2564-2566) กลุ่มขายสามารถสร้างกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็น 1,842 ล้านบาท 1,932 ล้านบาท และ 2,473 ล้านบาท ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีและนวัตกรรมคือ กุญแจสำคัญของการเติบโตของธุรกิจนี้ การพัฒนาเกษตรกรให้ก้าวไปสู่ Farmer Business
นอกจากมีทักษะในการเพาะปลูกที่เชี่ยวชาญแล้ว การทำธุรกิจที่เป็นมืออาชีพ (Smart Farming) หรือนำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปด้วยจะทำให้เกษตรกรไทยมีศักยภาพ บนเวทีโลก
เพราะไทยเป็นประเทศที่ได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ดิน ฟ้า อากาศ ที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูกอยู่แล้ว การพัฒนาคนที่สามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพาะปลูกจึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ไทยมีแต้มต่อกว่าประเทศอื่นๆ
รวมถึงการใช้โอกาสของหลักประกันทางธุรกิจในการนำไม้ยืนต้นมาต่อยอดเป็นเงินทุนที่จะทำให้ธุรกิจสามารถขยายต่อไปได้