อนามัยโพล ชี้พ่อแม่ส่วนใหญ่ยังไม่อยากให้เปิดเรียน รอครูนักเรียนฉีดวัคซีนก่อน
กรมอนามัย เผยผลสำรวจชี้เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่ให้เด็กเปิดเรียนตอนนี้ เหตุยอดติดเชื้อยังพุ่ง-มองควรฉีดวัคซีนครูและนักเรียนให้ครอบคลุม
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจอนามัยโพลในประเด็น “เห็นด้วยที่จะเปิดเรียนหรือไม่” พบว่า ภาพรวมประเทศ เห็นด้วย ร้อยละ 40.5 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 54.8 และเมื่อแบ่งออกเป็นรายภาค พบว่า ภาคกลางไม่รวมกรุงเทพมหานคร เห็นด้วย ร้อยละ 33.1 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 62.1 , ภาคใต้ เห็นด้วย ร้อยละ 30.2 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 65.9 , ภาคเหนือ เห็นด้วย ร้อยละ 45.1 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 49.9และภาคอีสาน เห็นด้วย ร้อยละ 66.2 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 29.6 โดยเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยในการเปิดเรียนมากที่สุด ในทุกพื้นที่ยกเว้นภาคอีสานคือ เนื่องจากยังพบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม ส่วนภาคอีสานจัดอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดต่ำและเป็นพื้นที่เดียวที่ผลสำรวจพบว่า เห็นด้วยที่จะให้เปิดเรียนสูงถึงร้อยละ 66.2 ซึ่งเหตุผลหลักคือ เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุผลของผู้ที่ไม่เห็นด้วยในการเปิดเรียนในภาพรวมของประเทศพบว่า ร้อยละ 15.3 ต้องการให้ครูและนักเรียนได้รับการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ขณะที่กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดหนักในตอนนี้ ต้องการให้ครูและนักเรียนได้รับการฉีดวัคซีน ร้อยละ 17.11 , ภาคกลาง ร้อยละ 14.28 , ภาคใต้ ร้อยละ 28.43 , ภาคเหนือ ร้อยละ 23.75 และภาคอีสาน ร้อยละ 9.28
ดังนั้น การที่ประชาชนมองว่าควรพิจารณาการฉีดวัคซีนสำหรับบุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนก่อน จึงเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการเปิดเรียนตามปกติ และการพิจารณาเปิดเรียนจึงควรกระจายอำนาจให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด ร่วมกับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นผู้พิจารณา โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในสถานศึกษาที่กรมอนามัยได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และภาคีเครือข่ายจัดทำขึ้น พร้อมทั้งผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาผ่าน Thai Stop COVID plus การเตรียมความพร้อมและแผนเผชิญเหตุของโรงเรียน ความร่วมมือของชุมชนและทุกภาคส่วนในพื้นที่ ตลอดจนการลดการเคลื่อนไหวหรือเดินทางของนักเรียนหรือผู้เกี่ยวข้องที่มาจากพื้นที่หรือสถานที่ที่เกิดการระบาด
“ทั้งนี้ สถานศึกษาทุกแห่งขอให้ปฏิบัติตามมาตรการก่อนเปิดภาคเรียนอย่างเคร่งครัดด้วยการประเมินตนเอง ผ่านระบบ Thai Stop COVID plus ซึ่งจากข้อมูลระหว่างวันที่ 24 เมษายน - 27 พฤษภาคม 2564 พบว่ามีการประเมินตนเองแล้ว จำนวน 38,264 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 98.3 ส่วนนักเรียน นักศึกษา ครู บุคลากร และผู้ปกครอง ประเมินความเสี่ยงผ่านระบบ “ไทยเซฟไทย”
และสำหรับสถานศึกษาให้จัดสภาพแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนของสถานศึกษา 44 ข้อ ใน 6 มิติ ได้แก่ 1) ความปลอดภัยจากการลดแพร่เชื้อโรค 2) การเรียนรู้ 3) การครอบคลุมเด็กด้อยโอกาส 4) สวัสดิภาพและการคุ้มครอง 5) นโยบาย และ 6) การบริหารและการเงิน”อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด