สภาพัฒน์ เล็งหั่นงบให้ อสม.สู้โควิด จาก 1 ปีเหลือ 3- 6เดือน
สภาพัฒน์ฯเล็งหั่นงบ อสม.สู้โควิด-19จากที่ให้เพิ่ม 500 บาท/เดือน เป็นเวลา 1 ปี เหลือ 3- 6 เดือน อ้างมาตรฐานเดียวกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านชงเข้า ครม. ส.ค.นี้
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. แหล่งข่าวจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ กระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ได้นำเสนองบประมาณตาม พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 หรือ โควิด -19
โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้รับกรอบวงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท โดยส่วนหนึ่งนำมาเพิ่มค่าตอบแทนให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 10,000 ล้านบาท โดยให้ค่าตอบแทนเพิ่มเติม 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปีนั้น
ทั้งนี้ เนื่องจาก อสม.มีจำนวน 1,050,000 คนทั่วประเทศถือเป็นจิตอาสา เข้าหาชุมชนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะเลขาคณะกรรมการพิจารณางบโควิด-19 กลับไม่เห็นด้วย จะให้ค่าตอบแทนแก่ อสม.เพียงแค่ 3 เดือน
“จากการหารือของคณะกรรมการจากสภาพัฒน์ พบว่า การเพิ่มเงินค่าตอบแทนให้กับ อสม. จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปีนั้น อาจจะใช้งบประมาณจำนวนมากเกินไป จึงต้องการปรับลดระยะเวลาให้เพียง 3 เดือน ก็น่าจะเพียงพอ
อย่างไรก็ตามการพิจารณาล่าสุด โดยเทียบเคียงจากหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ได้รับเป็นเวลา 6 เดือน อาจจะใช้เกณฑ์เดียวกัน ส่งผลให้ อสม. อาจจะได้เงินค่าตอบแทนเพิ่ม 500 บาท เพียงแค่ 6 เดือน หรือ 3,000 บาทเท่านั้น” แหล่งข่าวระบุ
ทั้งนี้น่าสังเกตว่า อสม.ถือเป็นเป็นจิตอาสา ทำประโยชน์ มากมายในสถานการณ์โควิด-19 ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบ ให้คำแนะนำกับประชาชนในการรับมือกับ โควิด-19 และเป็นผู้มีความเสี่ยงในการเข้าสอบสวนโรค ในหลายพื้นที่
อย่างกรณีล่าสุดในการพบเชื้อโควิด จากคณะนายทหารจากประเทศอียิปต์ ที่จังหวัดระยอง นั้น อสม.มีบทบาทในการ ลงพื้นที่สอบสวนโรค ค้นหาสถานที่พัก และการเดินทาง ไปตามสถานที่ต่างๆ อย่างละเอียด เป็นต้น
อย่างไรก็ตามจะต้องติดตามต่อไปว่า ที่สุดแล้ว สภาพัฒน์ฯ จะสรุปเรื่องการพิจารณาค่าตอบแทน อสม. เท่าไหร่อย่างไร จากนั้นขั้นตอนต่อไป จะมีการนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ราวเดือน สิงหาคม 2563 และคณะรัฐมนตรี จะมีความต่อเรื่องนี้อย่างไร