ผู้ป่วยแพ้ยาที่แพทย์สั่ง ต้องรับผิดชอบค่ายา?

ปัญหาจากบริการด้านการรักษาพยาบาลเป็นหนึ่งในปัญหาที่ยังคงมีผู้ร้องเข้ามายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอยู่เป็นประจำ ซึ่งการแก้ไขต้องใช้ความเข้าใจร่วมกันทั้งผู้ร้องและผู้ให้บริการ เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้ปัญหาเกิดขึ้น

เรามีหนึ่งตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการสถานพยาบาล เรื่องของการแพ้ยา โดยผู้ร้องได้เข้ารับการผ่าตัดหมอนรองกระดูกคอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยก่อนผ่าตัดแพทย์ได้แจ้งค่าใช้จ่าย 3-4 แสนบาท ซึ่งเขาก็ทราบและตกลงรับการรักษา หลังผ่าตัดเสร็จสิ้นและอยู่ระหว่างพักฟื้นในห้องพักผู้ป่วย ผู้ร้องปวดแผล พยาบาลจึงฉีดยา

ต่อมาไม่นานผู้ร้องเริ่มแน่นหน้าอก ไอ กระสับกระส่าย หายใจลำบาก เหมือนมีอะไรติดในคอ จึงเรียกให้พยาบาลมาดูอาการอีกครั้ง ซึ่งแก้ปัญหาด้วยการชงน้ำขิงมาให้ดื่ม แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น พยาบาลจึงหยดยาชาบริเวณคอให้แทน

อย่างไรก็ตาม อาการของผู้ร้องกลับแย่ลงเรื่อยๆ เริ่มหายใจไม่ออก หน้า ลิ้น เป็นสีม่วง ทำให้พยาบาลรีบนำผู้ร้องเข้าห้องไอซียู และภายหลังแพทย์วินิจฉัยว่า เกิดจากแพ้ยาที่ฉีดให้เพื่อบรรเทาปวดแผลนั่นเอง

หลังจากนอนพักรักษาตัวจนครบกำหนดออกจากโรงพยาบาล ผู้ร้องก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ายอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงินเกือบ 7 แสนบาท ซึ่งพยาบาลชี้แจงว่าเป็นค่าผ่าตัดรวมกับค่ารักษาอาการแพ้ยาที่เกิดขึ้น

เขาจึงทักท้วงไปว่าโรงพยาบาลไม่ควรเรียกเก็บค่ารักษาอาการแพ้ยา เพราะเกิดจากมาตรการดูแลผู้ป่วยที่ผิดพลาดของโรงพยาบาลเอง ทำให้โรงพยาบาลเสนอว่าจะลดค่าใช้จ่ายให้โดยให้ผู้ร้องชำระเฉพาะยอดค่าผ่าตัดตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนยอดค่ารักษาอาการแพ้ยาจะยังไม่จ่ายก็ได้ แต่ต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ก่อนจึงจะออกจากโรงพยาบาลได้ ผู้ร้องไม่มีทางเลือกต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้กว่า 2 แสนบาท และส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอคำแนะนำ

ศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เห็นว่าการเรียกเก็บเงินดังกล่าวเอาเปรียบผู้ป่วย เพราะแพทย์ควรระวังการรักษามากกว่านี้ หรือควรสันนิษฐานได้เบื้องต้นว่า อาการที่เกิดขึ้นหลังการฉีดยาบรรเทาอาการปวดแผลเป็นอาการแพ้ยา และรีบแก้ไขให้ถูกต้อง

กรณีที่เกิดขึ้นอาจเข้าข่ายประมาทเลินเล่อ และทางโรงพยาบาลควรรับผิดชอบ ศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงช่วยทำหนังสือแจ้งโรงพยาบาลให้ระงับเรียกเก็บค่ารักษาส่วนที่เหลือ