สาริณี อังศุสิงห์ แม่ทัพหญิงวิทยุการบิน
อุตสาหกรรมการบินคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
โดย ทศพล หงษ์ทอง
อุตสาหกรรมการบินคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวสร้างรายได้หลักให้กับประเทศไทย ในวันที่การลงทุนภาคเอกชนและตัวเลขการส่งออกยังต้องระมัดระวังปัจจัยเสี่ยง และด้วยศักยภาพการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่คาดการณ์ว่าในช่วง 7 ปีนับจากนี้ปริมาณผู้โดยสารรายปีจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ล้านคน ไปอยู่ที่ 184 ล้านคน ในปี 2568 เช่นเดียวกับตัวเลยเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น 100% แตะ 2 ล้านเที่ยวบินต่อปี
ขณะที่นโยบายของรัฐบาลต้องการขับเคลื่อนโอกาสของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอากาศยานและศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานนั้นส่งผลให้โจทย์ดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องการผู้นำระดับหัวกะทิเข้ามาวางทิศทางของประเทศ
สาริณี อังศุสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย หรือ บวท. ถือเป็นแม่ทัพหญิงแกร่งแห่งห้วงอากาศที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอุตสาหกรรมการบินในประเทศ ด้วยความเป็นกันเองตามแบบฉบับของหญิงแกร่งอารมณ์ดีเธอจึงชอบให้ทุกคนเรียกว่า “พี่จี๊ด” อย่างไรก็ตามหน้าที่ของ บวท.คือการบริหารจัดการห้วงอากาศยานและระบบบริหารจราจรทางอากาศในแต่ละสนามบิน รวมถึงประสานงานกับสายการบินเพื่อแก้ไขปัญหาตลอดจนกำหนดนโยบายของเส้นทางการบินในประเทศ
สาริณี ได้เล่าถึงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่ฮับการบินในภูมิภาคอาเซียน ว่า บวท.อยู่ระหว่างเสนอแนวทางการบริหารห้วงอากาศใหม่เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกอบด้วย 1.จัดโครงสร้างเส้นทางการบินใหม่ (Route Structure) 2.ปรับระเบียบข้อบังคับและออกกฎหมายรองรับทางการบิน 3.พัฒนาระบบบริหารจัดการและเทคโนโลยีสนามบิน เพื่อแก้ปัญหาดีเลย์ของเที่ยวบินตลอดจนปัญหาผู้โดยสารแออัดภายในสนามบินตลอดจนเพิ่มปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารควบคู่ไปกับยกระดับความปลอดภัยให้ได้มาตรฐานสากล ควบคู่ไปกับการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการสนามบินโดยใช้โมเดลของประเทศอังกฤษ
“เขาไม่มีเที่ยวบินดีเลย์และยังสามารถบริหารห้วงอากาศได้ดีกว่าบ้านเรามากแม้พื้นที่น้อยกว่า 2-3 เท่า”
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดการบินในปี 2561 นี้จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าปีก่อนหลังจากผ่านช่วงเศรษฐกิจโลกตกต่ำและเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญมาแล้ว ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าปริมาณเที่ยวบินโดยรวมในปีนี้จะขยายตัวที่ 5-6% ดังนั้นในอีก 20 ปี ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่มียอดผู้โดยสารมากที่สุดในโลกจากตอนนี้อยู่อันดับที่ 20 ของโลก
นอกจากนี้ ไทยยังถือครองสัดส่วนปริมาณทางการบินในภูมิภาคมากที่สุดถึงร้อยละ 28 รองลงมา คือ สิงคโปร์ร้อยละ 25 ดังนั้น บวท.จึงมีแผนลงทุนเพื่อต่อยอดศักยภาพตลาดการบินของไทยวงเงินกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนงานระบบบริหารการบินและเทคโนโลยี 7,000 ล้านบาท นับว่าเป็นระบบที่ทันสมัยมากที่สุดในโลกควบคู่ไปกับการลงทุนอีกราว 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณจราจรทางอากาศของประเทศ
สุดท้ายหัวเรือใหญ่ของ บวท. ได้วางแนวทางสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมการบินไทยไว้ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมการบินทุกฝ่ายจำเป็นต้องร่วมทำงานกันแบบ Team Thailand Aviation ที่ทั้งผู้ให้บริการสนามบิน ผู้ควบคุมการบิน สายการบินรวมถึงหน่วยงาน
ภาครัฐต้องร่วมมือกันบริหารจัดการห้วงอากาศแบบบูรณาการ ทั้งด้านเส้นทางการบิน กฎหมายระเบียบข้อบังคับและเทคโนโลยีข้อมูลทางการบิน
รวมทั้งต้องร่วมมือกันด้านหลักสูตร ถ่ายทอดองค์ความรู้ และแนวทางการผลิตบุคลากรอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะระบบเชื่อมโยงข้อมูล (A-CDM : Airport Collaborative Decision Making) มาใช้ในการตัดสินใจร่วมกันด้วยการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันข้อมูลปฏิบัติการที่เป็นปัจจุบัน เช่น ข้อมูลสภาพอากาศที่อาจส่งผลต่อเที่ยวบิน ข้อมูลการกําหนดหลุมจอด ลําดับการบินเข้า-ออกจากสนามบิน เป็นต้น