เลียนไก่ขันเลียนหมาเห่า ทักษะน้อยใหญ่ใช้ได้ในวิกฤต
เมิ่งฉางจวินแห่งแคว้นฉี เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคจ้านกว๋อ - ยุคที่จีน 7
เมิ่งฉางจวินแห่งแคว้นฉี เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคจ้านกว๋อ - ยุคที่จีน 7 แคว้นชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เมิ่งฉางจวินมิได้โด่งดังเพราะมีความสามารถเฉพาะตัวมากมาย แต่เพราะวิสัยทัศน์การใช้ชีวิต
เมิ่งฉางจวินขึ้นชื่อเรื่องความใจกว้าง เขาใช้ทรัพย์สินเลี้ยงดูปูเสื่อแขกเหรื่อ ไม่ว่าจะเป็นแขกเล็กหรือแขกใหญ่ เหมือนจะมีความสามารถมากมายหรือเหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่น เมิ่งฉางจวินก็ชื่นชมและยินดีคบหา จนถึงเลี้ยงดูปูเสื่อทั้งนั้น
เขาคงถือภาษิตจีนที่ว่า “มีเพื่อนมากอีกหนึ่งคน ก็มีหนทางเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งทาง” บางคนอาจคุ้นเคยกับชื่อของเมิ่งฉางจวินแล้วในเรื่อง “กระต่ายไหวพริบดี ต้องมีสามรัง” (อ่านได้ในมองตะเกียบเห็นป่าไผ่ เล่ม 1) เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นั้น เรื่องมีอยู่ว่า…
แคว้นฉินเข้มแข็ง แคว้นฉีอ่อนแอ เมื่อแคว้นฉินขยายอิทธิพลรุกราน แคว้นฉีต้องใช้การทูตเข้าเจรจา จึงส่งเมิ่งฉางจวินมาเป็นทูตต่อรอง อ๋องแคว้นฉินยินดียิ่ง ออกปากชักชวนเมิ่งฉางจวินให้สวามิภักดิ์ หากได้เมิ่งฉางจวินผู้กว้างขวางมาสังกัด ก็เท่ากับได้บุคลากรมาช่วยงานอีกหลายร้อยหลายพันคน
อ๋องแคว้นฉินเสนอตำแหน่งเสนาบดี แต่เมิ่งฉางจวินไม่เอาด้วย... อ๋องแคว้นฉินบอกกับเขาว่าไม่เอาด้วย เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับแคว้นละกัน!” เมิ่งฉางจวินโดนกักบริเวณ
เมิ่งฉางจวินร้อนรน อยากจะกลับแคว้นฉีแต่ก็มิรู้จะทำอย่างไร จึงติดต่อขอความช่วยเหลือไปทั่ว คนที่ยื่นมือช่วยเหลือเมิ่งฉางจวินคนแรกๆ กลับเป็นคนของแคว้นฉิน (เห็นได้ว่าเมิ่งฉางจวินกว้างขวางสมคำร่ำลือ) เขาคือจิ้งหยางจวิน - เชื่อพระวงศ์แคว้นฉินซึ่งสนิทกับเมิ่งฉางจวินเป็นอย่างมาก
จิ้งหยางจวินบอกให้เมิ่งฉางจวินเอาแก้วแหวนเงินทองที่ติดตัวมามอบให้เขา เพื่อนำไปติดสินบนใครสักคนเพื่อเกลี้ยกล่อมอ๋องแคว้นฉิน เมิ่งฉางจวินจึงมอบของมีค่าที่ติดตัวมาทั้งหมดให้จิ้งหยางจวินไปทำตามแผน
คนที่จิ้งหยางจวินไปติดสินบน คือ สนมคนโปรดของอ๋องแคว้นฉิน โดยบอกกับสนมคนนั้นว่า “ช่วยเกลี้ยกล่อมท่านอ๋องให้ข้าที หากท่านอ๋องเสียมารยาทการทูตสากลด้วยการคิดกักตัวเมิ่งฉางจวินแบบนี้ จะต้องเสียชื่อเสียงในเวทีนานาแคว้นแน่นอน”
สนมคนนั้นบอกว่า เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหา แต่ตนต้องการของชิ้นหนึ่งมาแลกเปลี่ยน จิ้งหยางจวินบอก “ได้เลย! ข้าเตรียมไว้แล้ว” ว่าแล้วก็ให้ผู้ติดตามนำแก้วแหวนเงินทองของเมิ่งฉางจวินออกมา “เชิญเลือกเอาได้เลย” แต่นางสนมปฏิเสธสิ่งของที่อยู่ข้างหน้า
“ข้าเคยได้ยินมาว่าท่านเมิ่งเคยถวายขนเฟอร์จิ้งจอกขาวแด่อ๋องของเรา ข้าอยากได้ขนเฟอร์แบบนั้นเป็นการตอบแทน” เมื่อจิ้งหยางจวินกลับมาบอกข้อเสนอ เท้าของเมิ่งฉางจวินก็ย้ายจากพื้นขึ้นมาก่ายที่หน้าผากทันที เมิ่งฉางจวินว่า “จิ้งจอกที่มีขนขาวโพลนนั้นแสนหายาก” “ขนเฟอร์ผืนนั้นข้ามีอยู่แค่เพียงผืนเดียว! ซึ่งถวายแก่อ๋องแคว้นฉินไปแล้ว”
จิ้งหยางจวินกล่าวว่า “จะทำอย่างไรดี นางระบุสิ่งที่ต้องการไว้ชัดแจ้ง ถ้าได้จะสามารถปลดล็อกแผนนี้ได้ทันที” เมิ่งฉางจวินคิดได้วิธีเดียว คือ ต้องขโมยขนจิ้งจอกขาวที่ถวายให้อ๋องแคว้นฉินมาแก้สถานการณ์ก่อน แต่ขนจิ้งจอกขาวเก็บไว้ในห้องเก็บของของอ๋องแคว้นฉินอย่างดี มีรั้วรอบขอบชิด และมีทหารยามเฝ้าระวัง
ทันใดนั้นแขกที่เมิ่งฉางจวินเลี้ยงไว้และติดสอยห้อยตามมาในทริปนี้คนหนึ่งจึงลุกขึ้นมา “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง!” ที่แท้แขกคนนี้มีความสามารถพิเศษเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง
หนึ่งคือเขาเคยเป็นนักย่องเบา สองคือสามารถเลียนเสียงสุนัขได้อย่างแนบเนียน คืนนั้นจึงเข้าไปทางช่องรั้วที่สุนัขมุดเข้าออก ทำเสียงครางบ้างเห่าบ้างเพื่อกลบเกลื่อน ทหารยามมิได้เอะใจ ขนจิ้งจอกขาวถูกขโมยออกมาและนำไปติดสินบนสนมคนโปรดได้สำเร็จ
อ๋องแคว้นฉินเจอสนมเกลี้ยกล่อมในยามวิกาลเข้าไป จึงสั่งให้ปล่อยเมิ่งฉางจวินแต่โดยดี เมิ่งฉางจวินตัดสินใจรีบออกจากแคว้นฉินทันทีในคืนนั้น ขบวนเมิ่งฉางจวินเร่งรีบตลอดคืนจนถึงชายแดนแคว้นฉิน แต่ประตูด่านชายแดนปิดในยามวิกาล จะเปิดก็เมื่อเช้าเท่านั้น ขบวนเมิ่งฉางจวินมาถึงกลางดึกอีกนานกว่าจะสว่าง เมิ่งฉางจวินได้แต่กระวนกระวายใจ อยากให้ประตูด่านเปิดเร็วๆ
เพราะนอกจากกลัวอ๋องแคว้นฉินจะเปลี่ยนใจ หากรวมกับเรื่องขโมยขนจิ้งจอกขาวเข้าไปด้วย เมิ่งฉางจวินคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่ชายแดนแคว้นฉินเป็นแน่ ถึงเวลานั้นแขกผู้ติดตามเมิ่งฉางจวินอีกคนเดินออกมาข้างหน้า “เรื่องแค่นี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
แขกคนนี้เลียนเสียงไก่ขันได้แนบเนียน ว่าแล้วเขาก็ย่องไปหลังเล้าไก่ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวด่าน เขาส่งเสียงเลียนไก่ขันขึ้นมา ไก่แถวประตูด่านต่างอุปาทานหมู่ว่าเช้าแล้ว ขันรับต่อเนื่องกันไป ยุคนั้นยังไม่มีนาฬิกา ทหารที่เฝ้าด่านจะยืมเพื่อนหรือยืมชาวบ้านดูเวลาก็ทำไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงไก่ขันจึงคิดไปว่าใกล้เช้า จึงยอมเปิดประตูด่านให้กับขบวนของเมิ่งฉางจวินออกจากแคว้นฉินไป
เมิ่งฉางจวินจึงรอดมาได้ด้วยประการฉะนี้ นิทานเรื่องนี้สอนใจว่า อย่าประเมินความสามารถที่ดูไม่โดดเด่นหรือดูไม่มีประโยชน์ต่ำเกินไป เพราะมันสามารถสร้างประโยชน์ได้ เมื่อโอกาสมาถึงและยังมีอีกข้อคิดแถมท้าย เมิ่งฉางจวินถึงมีชื่อเสียงมีเงินทองมากมาย แต่การขอความช่วยเหลือจากคนเล็กคนน้อยทั่วไปก็ไม่ใช่เรื่องน่าละอาย และด้วยการเปิดใจ ไม่ถือตัว ไว้ใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ย่อมทำให้ผู้คนรอบข้างยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้เต็มที่
สองอาทิตย์วิกฤตที่ผู้คนมากหน้าหลายตาจากนานาชาติ มุ่งมาช่วยเหลือน้องๆ และผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าที่ถ้ำหลวง ทำให้เรารู้ได้ว่านิทานสอนใจที่เรียบง่ายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญไม่ว่าจะซับซ้อนหรือเรียบง่าย ล้วนมีโอกาสให้ใช้ เสน่ห์ของมันจึงมิได้อยู่แค่คำถามตรงไปตรงมาที่ว่า “ฝึกฝนมาเพื่ออะไร” แต่คือ “จะนำมาพลิกแพลงใช้ในตอนไหน อย่างไร”
สตีฟ จ็อบส์ ในวัยว้าวุ่น เคยเรียนวิชาประดิษฐ์ตัวหนังสือโดยไม่รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร สุดท้ายเขาก็นำมาใช้ในการออกแบบฟอนต์ในเครื่องแมคอินทอชให้โดดเด่น และเป็นไอเดียในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของเขาเรื่อยมา
เมิ่งฉางจวินเลี้ยงดูแขกเหรื่อจำนวนมาก ไม่เคยถามสักคำว่าทำไปเพื่ออะไร สุดท้ายต่างเป็นเครือข่ายที่คอยช่วยเหลือได้เสมอ “เพื่ออะไร” จึงไม่ใช่คำถามเพียงอย่างเดียวในการลงมือฝึกฝนหรือกระทำสิ่งต่างๆ แล้วก็นึกถึงประโยคของ John Volanthen - นัก
ดำน้ำในถ้ำชาวอังกฤษ คนที่พบเด็กๆ และผู้ช่วยโค้ชในถ้ำหลวง
“ผมหลงใหลการดำน้ำ และคิดสงสัยอยู่ตลอดว่าจะทำไปเพื่ออะไร สองอาทิตย์ที่ผ่านมาคือคำตอบของสิ่งที่ผมทำมาทั้งชีวิต”