‘ปอร์เช่’ โชว์อี-ไฮบริด กรุยทางสู่รถยนต์ไฟฟ้า
การพัฒนาเทคโนโลยีของ ปอร์เช่ มุ่งมั่นไปสู่พลังงานแห่งอนาคตอย่างรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
โดย..พลพัต สาเลยยกานนท์
สัปดาห์นี้อยู่ในค่ำคืนของการขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแห่งอนาคตของ ปอร์เช่ ในกิจกรรม ปอร์เช่ อี-เพอร์ฟอร์มานซ์ ไนท์ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่ ประเทศมาเลเซีย
“โพสต์ทูเดย์” ได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ โดยคำเชิญของ ปอร์เช่ เอเชียแปซิฟิก และปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ซึ่งรูปแบบของกิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ โรด ทัวร์ (Road Tour) ที่ให้สื่อมวลชนในภูมิภาคนี้ได้ขับขี่ ปอร์เช่ พานาเมร่า และปอร์เช่ คาเยนน์ ได้สัมผัสแสงสีความสวยงามในเมืองกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าสู่สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต แต่เป็นที่น่าเสียดายเนื่องด้วยสภาพอากาศไม่เป็นใจมีพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก ประกอบกับการจราจรในเมืองนั้นหนาแน่นมากจากการก่อสร้างปรับปรุงเส้นทางต่างๆ ในเมือง จึงทำให้ต้องยกเลิกกิจกรรมส่วนนี้ไป
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะกิจกรรมอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญยังสามารถเดินหน้าต่อได้ใน ปอร์เช่ เอ็กซ์พีเรียนซ์ เซ็นเตอร์ ที่สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่เมื่อเดินทางมาถึงได้สัมผัสกับเทคโนโลยีอันเป็นเป้าหมายในอนาคตของปอร์เช่ อันได้แก่ กลุ่มอี-ไฮบริด หรือที่ทั่วไปเรียกกันว่า ปลั๊ก-อิน ไฮบริด เพื่อปูทางสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่จะเปิดตัวในปีหน้าอย่าง ปอร์เช่ ไทคานน์ และปอร์เช่ มิชชั่น อี ในอนาคต ปัจจุบัน ปอร์เช่หลักๆ มี 2 ทางเลือกของเครื่องยนต์ให้แก่ผู้บริโภค ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน ในกลุ่มรถสปอร์ต และอี-ไฮบริด
สำหรับ อี-เพอร์ฟอร์มานซ์ คือแผนกลยุทธ์การดำเนินงานหลักเพื่อปูทางไปสู่อนาคต ปอร์เช่มีความตั้งใจว่าภายในปี 2025 กว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์ปอร์เช่รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายจะเป็นรถยนต์ที่ได้รับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะเต็มรูปแบบหรือเครื่องยนต์ไฮบริด
ปอร์เช่ นับเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมรายแรกของโลก ที่สามารถติดตั้งเทคโนโลยี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ลงในรถยนต์ที่แตกต่างกันได้ถึง 3 รุ่น โดยในปัจจุบันนี้ ปอร์เช่ พานาเมร่า และคาเยนน์ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การดำเนินงาน และรถสปอร์ตที่ตอบรับกับการใช้งานในทุกวันของชีวิต แนวทางเดียวกันนี้กำลังนำไปสู่การมาถึงของไทคานน์ รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบคันแรกของปอร์เช่
นอกจาก 2 รุ่นหลักที่ยกมาทั้งไลน์ อย่าง ปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด, พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด สปอร์ต ทัวริสโม่, พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด, พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด สปอร์ต ทัวริสโม่ และปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด อีกหนึ่งไฮไลต์ที่สร้างสีสันในการขับขี่และสัมผัสเทคโนโลยีครั้งนี้คือ ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์
เริ่มต้นที่ ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ ที่มาพร้อมด้วยขุมพลัง อี-ไฮบริด และเครื่องยนต์ วี8 ขนาด 4.0 ลิตร 680 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ขนาด 14 กิโลวัตต์ ซึ่งคันนี้อินสตรัคเตอร์ผู้เชี่ยวชาญของปอร์เช่เป็นผู้ขับขี่ โดยเราเป็นเพียงผู้โดยสาร แต่ก็รับรู้ได้ถึงขุมพลังอย่างเหนือความคาดหมาย
อีกรุ่นหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะเพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยไปหมาดๆ อย่าง ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด กับเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร 462 แรงม้า และแบตเตอรี่ขนาด 14.1 กิโลวัตต์ พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Tiptronic S ซึ่งดุเด็ดเผ็ดมันและสนุกสนานกับการขับขี่ที่ผสมผสานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้รถอเนกประสงค์ (เอสยูวี) พรีเมียม ดุดันยิ่งขึ้น
สำหรับรูปแบบของสถานีต่างๆ ที่จัดไว้สำหรับการลองขับนั้น เป็นการออกแบบมาเพื่อให้รับรู้ถึงสมรรถนะของ อี-ไฮบริด ที่ไม่ใช่เพียงแต่การประหยัดพลังงานเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนออกมาได้ถึงสมรรถนะที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว พร้อมๆ กับความตื่นเต้นในสนามเวลากลางคืนในที่แห่งนี้ ยิ่งเป็นสิ่งเร้าในการขับขี่และความตื่นเต้นให้เทคโนโลยี อี-ไฮบริด โดดเด่นขึ้นมา
ที่ต้องกล่าวถึงอีกอย่างหนึ่งคือ สถานีสลาลม (Slalom) ที่ใช้ คาเยนน์ อี-ไฮบริด ในการทดสอบของสถานีนี้ ที่ให้ขับขี่หลบหลีกสิ่งกีดขวางในโหมด e-Power ซึ่งทำงานด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน และห้ามให้เครื่องยนต์ติด ทำให้เรารู้ว่าพลังงานไฟฟ้าในรถคันนี้ใช้ขับขี่ได้จริงแบบไม่ใช่เต่าคลาน
การจัดกิจกรรมครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณการนำไปสู่ทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีของ ปอร์เช่ ที่มุ่งมั่นไปสู่พลังงานแห่งอนาคตอย่างรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในอนาคต