เงินทอง
คำคุ้นเคยนี้เป็นการนำคำสองคำมาเชื่อมกัน ชนกันอย่างที่ภาษานักภาษาศาสตร์เรียกว่าเป็นการสมาสคำ
โดย...คุณวีรณัฐ โรจนประภา
คำคุ้นเคยนี้เป็นการนำคำสองคำมาเชื่อมกัน ชนกันอย่างที่ภาษานักภาษาศาสตร์เรียกว่าเป็นการสมาสคำ โดยมาจากคำสองคำที่มนุษย์ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนปรารถนา นั่นคือคำว่า
“เงิน” กับ “ทอง”...........
เมื่อมาใช้ด้วยกันนานเข้าเลยกลายเป็นเสมือนคำเดียวกัน คือหมายถึงเรื่องของทรัพย์สิน ความมั่งคั่ง ใช้กันจนคุ้นปากว่า ร่ำรวยเงินทอง มีเงินมีทอง ได้เงินได้ทอง อันถือว่าเป็นคำอวยพรอันน่าปรารถนาของทุกคน แม้โดยความหมายที่แท้จริงแล้ว สองคำนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
“เงิน” คือสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาใช้ในการแลกเปลี่ยนสิ่งของของคนในสังคม แม้แต่ในที่เดียวกันเองเงินยังมีความแตกต่างกันไปตามสถานการณ์หรือเวลา อย่างปัจจุบันนี้เงินมักหมายถึงกระดาษที่ตีพิมพ์ขึ้นรับรู้ร่วมกัน แต่ในอดีตเงินอาจหมายถึงหอย เบี้ย หรือหินก็ยังได้ ส่วนในอนาคตเงินอาจกลายเป็นพลาสติกหรือแค่ข้อมูลในคอมพิวเตอร์
ส่วน “ทอง” นั้นมั่นคงกว่า หมายในแง่ของการสมมติ เพราะทองทุกประเทศทั่วโลกสมมติตรงกันในธาตุชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติคงที่ แม้ว่าจะใช้ภาษาเรียกต่างกันก็ตาม และด้วยการที่ทองมีความจำกัดทางด้านจำนวนที่เมกเอาดื้อๆ พิมพ์เพิ่มเฉยๆ ดั่งใจเองไม่ได้ ทำให้ทองมักจะให้ค่ามากกว่าเงิน ดั่งอีกคำที่คราวนี้แสดงถึงความแตกต่างนั่นคือ
มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่
ที่สะท้อนถึงการทรงค่ามากกว่าของทองเมื่อเทียบกับเงิน
ที่ยกมานี้นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงความสวยงามของภาษาไทยเราแล้ว ยังต้องการสื่อไปถึงคำอีกคำที่ใช้สองคำนี้เป็นองค์ประกอบหลักด้วย นั่นคือ
แสงเงิน แสงทอง............
ใครทราบบ้างครับว่าหมายถึงแสงอะไร ?
คนรุ่นผม ที่อายุขึ้นเลข 3 เลข 4 กันแล้วคงไม่ยากที่จะตอบ แต่หากนำไปถามเด็กสมัยใหม่ ไม่แน่เหมือนกันว่าพวกเขาจะรู้ ดีไม่ดีพานไปเดาๆ เอาว่าหมายถึงแสงไฟดิสโก้ ที่วูบวาบเป็นสีเงินสีทองไปโน่นก็เป็นได้ หรือพวกเด็กวิทย์อาจคิดไปถึงแสงในกาแล็กซีจากดวงดาวต่างๆ ที่เปล่งประกายระยิบระยับบนฟากฟ้า
ไม่ได้เย้ากัน หรือพูดเกินเลยนะครับ คุณๆ ที่อายุมากหน่อยลองนึกดูเถิดว่าศัพท์สมัยเราใช้นั้นหลายคำทีเดียวที่ “ตาย” ไปจากสังคมยุคใหม่แล้ว ต้องใช้พูดเฉพาะกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เผลอไปพูดกับเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานเมื่อไหร่เป็นอาจได้เห็นสีหน้า แววตางงงง งงงวย ทำนองว่าไม่เคยได้ยิน ไม่เข้าใจ หรือเคยได้ยิน พอเข้าใจ แต่ลุงยังใช้คำเชยๆ อย่างนี้อีกหรือ คนยุคนี้เขาไม่ใช้กันแล้ว อะไรประมาณนั้น
เสียดายครับ เสียดายรากภาษาสวยๆ พวกนี้ในสังคมเรานับวันจะเลือนหายไป แม้หลายคำเยาวชนรุ่นหลังอาจจะยังพอทราบความหมายกันบ้างอยู่ แต่ไม่ค่อยรู้ที่มาที่ไปเสียแล้ว อย่าง แสงเงิน แสงทอง ที่มาจากแสงพระอาทิตย์ที่สอดส่องในช่วงจังหวะจะพ้นขอบฟ้า ทำให้เกิดการหักเหสะท้อนของแสงที่งดงาม พลิ้วพรายดั่งแสงสะท้อนของเงินกับทองที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มได้ง่าย แต่นั่นเป็นเพียงส่วนภายนอกที่สื่อกันชัดๆ เพียงส่วนเดียว ยังมีอีกส่วนภายในที่สะท้อนและแฝงนัยไว้เตือนใจได้งดงามกว่ามาก
นั่นคือ “แสงแห่งเงิน แสงแห่งทอง” ที่หมายลึกไปถึง “โอกาส” ในการทำเงิน ทำทองให้ชีวิต
แต่ก่อนเราไม่มีนาฬิกา อาศัยพระอาทิตย์นี่แหละป็นตัวกำหนดในการออกหากิน ร่วมกับสัตว์ต่างๆ เป็นธรรมชาติที่กลมกลืน ที่สำคัญคือเหมาะสมกับความเป็นจริง มากกว่านาฬิกาดิจิตอลทุกวันนี้ คิดดูซิครับ ถ้าแม้จะ 8 โมงเช้าแล้ว แต่ถ้าพระอาทิตย์ไม่ขึ้นจะทำงานกันอย่างไร หรือทำได้ แต่ความปลอดภัยในการเดินทาง การแสวงหาต่างๆ จะปลอดภัยหรือไม่
คงไม่หรอกครับ ไม่งั้นแม้แต่บรรดาประเทศที่เขาว่าเจริญแล้วเองทุกประเทศคงไม่ต้องปรับเวลาให้เหมาะกับพระอาทิตย์ของจริงที่เรียกว่าปรับช่วงฤดูร้อนกับฤดูหนาวกันให้ยุ่งยากแน่ แต่เพราะมันไม่เหมาะ เขาจึงต้องอิงธรรมชาติอยู่ หรืออีกตัวอย่างที่ชัดแจ๋วและแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันยาวไกลหนักหนา ก็คือเวลาออกบิณฑบาตของพระภิกษุ ที่ตามพระวินัยกำหนดเอาเมื่อส่องเห็นลายมือ หรืออีกนัยก็คือพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงนั่นเอง
เหมาะสมทุกประการ เพราะหากไปก่อนเวลานั้นก็อันตรายและไม่เกิดประโยชน์อันใด ชาวบ้านร้านรวงเขาก็ยังไม่ตื่นกัน หรือหากรอจนตะวันเคลื่อนไปไกลหลายองศา ชาวบ้านเขาก็เร่งรีบทำการงานทางโลกกันแล้ว ใครที่อ่านพระวินัยให้สนุกก็ลองอ่านแล้วนึกภาพตามไปด้วยครับ จะเห็นพระอัจฉริยภาพอันสูงส่งของพระพุทธเจ้าที่ทรงประทานให้ด้วยเหตุและผลอันเหมาะสมในทุกประการ และทุกมิติ
ดังนั้น แม้เราไม่ใช่พระเราก็ควรเอาเยี่ยงอย่างที่ดีนี้ครับ เมื่อแสงเงิน แสงทองขึ้นเราควรรีบตื่นขึ้นมาจัดการธุระต่างๆ เพื่อออกหากินตามประสาของเรา ใครค้าขายก็ออกค้า เท่ากับเราฉวยชิ้นปลามัน ได้ของดีไปขายก่อนใคร หรือได้ของสวยไปใช้ให้คุ้มค่ากว่าคนอื่น ใครทำงานก็ไปทำงาน แม้ไปถึงก่อนก็ไม่เป็นไร กลับยิ่งดีจะได้ทำงานรุดหน้ากว่าคนอื่น อันหมายถึงการมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง ปรับเงินเดือนก็สูงตามมากว่าพวกที่เข้างานกันแบบฉิวเฉียดกฎ หรือตามน้ำสายนิดสายหน่อยเป็นไหนๆ หรือหากเป็นผู้บริหาร การได้มาทำงานก่อนก็เท่ากับมีเวลาในการไตร่ตรองพิจารณางานอย่างถ้วนถี่ในการจัดการปัญหาอย่างรอบคอบ หรือได้วางแผนในการขยายตลาด รุกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เห็นไหมครับว่าคำโบราณท่านรังสรรค์ไว้อย่างแยบคายจริงๆ ไม่ได้แค่พื้นๆ เท่าที่ตามองเห็น แต่ลงลึกไปถึงระดับนามธรรมที่จับต้องไม่ได้แต่เป็นจริงด้วย อย่าให้เสียดายภูมิปัญญาเราเลยครับ เราไม่รู้จักแสงเงิน แสงทอง ไม่ตื่นมารับแสงเงิน แสงทอง ก็เท่ากับเราไม่อยากมีเงินมีทองไปด้วย
อยากได้เงินได้ทอง ต้องตื่นมาให้ทันแสงเงิน แสงทอง ครับ !