ประสพโชค ตระกูลแพทย์ ผสมผสานความร่วมสมัยให้กลมกลืน
ประสพโชค ตระกูลแพทย์ หรือเชฟอาร์ต เริ่มต้นซึมซับความรักความชอบในการทำอาหารมาตั้งแต่ยังเด็กๆ
โดย...ภาดนุ
ประสพโชค ตระกูลแพทย์ หรือเชฟอาร์ต เริ่มต้นซึมซับความรักความชอบในการทำอาหารมาตั้งแต่ยังเด็กๆ จนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในชีวิตและต่อยอดมาสู่ความเป็นเชฟมืออาชีพที่มีชื่อเสียงทางด้านการทำอาหารอย่างในปัจจุบัน
“ผมสนใจการทำอาหารมาตั้งแต่ 6 ขวบ จำได้ว่าเคยเห็นคุณแม่ทำขนมเค้กเป็นประจำ ซึ่งท่านจะกำชับเลยว่า ‘ลูกอย่าเพิ่งมายุ่งนะ’ แต่ด้วยความเป็นเด็ก เราก็อยากจะเข้าไปช่วยคุณแม่อยู่ตลอด พอโตมาอีกหน่อยคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำงานทุกวัน ท่านจึงพาผมไปฝากไว้กับคุณป้าทั้งวัน เมื่อได้เห็นคุณป้าทำอาหารให้ครอบครัวกินบ่อยๆ ผมก็ยิ่งซึมซับความชอบทำอาหารเพิ่มขึ้นไปอีก เรียกว่าได้รับการปลูกฝังจากคนรอบตัวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ครับ”
เชฟอาร์ตเล่าว่า เมนูแรกๆ ที่เขาเริ่มหัดทำจะเป็นแพนเค้กราดซอสแอปเปิ้ลและเฟรนช์โทสซะส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสูตรที่พ่อแม่เคยสอนไว้เพื่อทำเป็นอาหารเช้า เนื่องจากตัวเขาเองเป็นเด็กที่ตื่นเช้าเป็นประจำ เขาจึงมักลงมือทำเมนูอาหารเช้าที่ทำง่ายๆ กินเองอยู่บ่อยๆ
“ตอนผมเป็นเด็ก อาชีพเชฟยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนกับสมัยนี้ แต่ตอนนั้นผมคิดเล่นๆ ว่าโตขึ้นผมจะเป็นเจ้าของร้านอาหารสักร้านหนึ่งให้ได้ เส้นทางอาชีพเชฟของผมเริ่มมาชัดเจนมากขึ้นเมื่อตอนผมไปเรียนปริญญาตรีที่เมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกานี่แหละครับ ที่จริงแล้วผมเรียนทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่สองปี ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอาชีพเชฟเลย
แต่ระหว่างเรียนอยู่ที่นี่ผมต้องทำอาหารกินเองทุกวันเลยครับ ผมจึงอาสาพี่สาวกับพี่ชายที่พักอยู่ด้วยกันว่าผมจะรับหน้าที่ทำอาหารเอง แล้วผมยังมีโอกาสได้ทำงานที่ร้านอาหารไทยที่นั่นด้วย พูดง่ายๆ ว่าชีวิตเกี่ยวข้องกับการทำอาหารตลอดเวลา แถมยังมีรายการทีวีเกี่ยวกับเชฟให้ดูอีกว่าเชฟเนี่ยสามารถประกอบอาชีพได้นะ ผมจึงได้แรงบันดาลใจจากตรงนี้ เลยแอบไปสมัครเรียนโดยโอนหน่วยกิตจากที่เรียนมาสองปีเพื่อมุ่งไปเรียนด้านการทำอาหารโดยตรง”
จากนั้นเขาจึงโทรศัพท์มาหาพ่อแม่ที่เมืองไทยเพื่อขออนุญาตเปลี่ยนสาขาวิชาเอกที่เรียน ซึ่งโชคดีว่าพ่อแม่ก็อนุญาตให้เรียนตามความชอบอีกเหมือนกัน พอหันมาเรียนในสิ่งที่รักที่ชอบ เขาจึงเรียนได้ดีตลอดมาจนกระทั่งคว้าปริญญาตรีทางด้านการทำอาหาร จากวิทยาลัย Seattle Culinary Academy มาจนได้
“พอเรียนจบ ผมกับเพื่อนก็ร่วมหุ้นกันเปิดร้านอาหารไทยในเมืองซีแอตเทิลนั่นแหละ แม้ตอนนั้นร้านอาหารไทยจะมีอยู่ถึง 300 แห่งแล้วก็ตาม แต่จุดประสงค์หลักที่ผมกับเพื่อนเปิดร้านก็คือ เราอยากทำให้ชาวต่างชาติรู้ว่าอาหารไทยมันไม่ใช่อย่างที่พวกคุณเคยกินกันมานะ แต่มันมีอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแกงที่ต้องตำเอง หรือรสชาติดั้งเดิมของอาหารซึ่งมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร แต่ก็ผสมผสานความร่วมสมัยเอาไว้ด้วย จะไม่ใช่อาหารฟิวชั่นอย่างที่พวกคุณคุ้นเคยกัน เราทำร้านอาหารอยู่ 3 ปีก็ได้รับการตอบรับที่ดีนะครับ แต่ในใจผมกลับบอกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับเมืองไทยเสียที”
หลังจากกลับเมืองไทย เชฟอาร์ตก็ได้มาร่วมเปิดร้านอาหารชื่อ Angelina ซึ่งเป็นร้านที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากฝรั่งเศส และร้าน Burt’s ซึ่งเป็นร้านประเภทเฮลท์ตี้ฟาสต์ฟู้ด (ในฟู้ดลอฟท์) ร่วมกับห้างเซ็นทรัล จนตอนนี้ร้านแองเจลิน่าได้ปิดตัวไปแล้ว ส่วนร้านเบิร์ตส์ยังมีอยู่ในฟู้ดลอฟท์ของห้างเซ็นทรัล
“หลังจากหยุดพักไปสักระยะหนึ่ง ผมก็คิดที่จะเปิดร้านอาหารของตัวเองขึ้นอีกครั้ง เมื่อมาเจอบ้านหลังนี้ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้ดูเป็นธรรมชาติ ผมจึงตัดสินใจมาเช่าสถานที่เพื่อเปิดร้าน The Hidden Terrace ขึ้นที่ซอยพระรามเก้า 43 ซึ่งที่ร้านมีทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง ตอนนี้ก็เปิดมาได้สองปีกว่าแล้วครับ จะมีลูกค้าขาประจำมากันตลอด ระหว่างนี้ผมยังมีโอกาสได้ไปแข่งทำอาหารในรายการเชฟกระทะเหล็ก และยังได้รับเชิญให้ไปออกรายการทำอาหารอีกด้วย ซึ่งผมว่าอาชีพเชฟนี่มันก็สนุกดีนะครับ” (ยิ้ม)
กว่า 11 ปีที่เดินบนเส้นทางสายอาชีพเชฟมา เชฟอาร์ตบอกว่า เคล็ดลับความสำเร็จของเขาก็คือ ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และอย่าปิดกั้นตัวเองในการที่จะได้เรียนรู้และทดลองทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ แล้วสักวันหนึ่งเราก็จะพบกับความสำเร็จเอง ปัจจุบันนี้นอกจากเป็นเจ้าของร้าน The Hidden Terrace แล้ว เชฟอาร์ตยังรับดูแลเรื่องอาหารให้กับร้าน Sleepless Garden และร้าน Eat Meat Sweet อีกด้วย แถมยังเป็นอาจารย์สอนคอร์สทำอาหารที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนอีกแน่ะ
แหม! เก่งสมกับเป็นเชฟมือทองซะจริงเชียว