แม่-ลูกคาราบาว อิสระบนความรับผิดชอบ
หากพูดถึงเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์คาราบาวแดงคนส่วนใหญ่จะนึกถึง “แอ๊ด คาราบาว”
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
หากพูดถึงเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์คาราบาวแดงคนส่วนใหญ่จะนึกถึง “แอ๊ด คาราบาว” แต่เครื่องดื่มโลโก้เขาควายก่อตั้งขึ้นในปี 2544 จากผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 คน อีก 2 คน คือ “เสถียร เศรษฐสิทธิ์” และ “ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ” หรือใหญ่ ปัจจุบันเป็นทั้งกรรมการผู้จัดการ และผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท คาราบาวกรุ๊ป (CBG)
“ณัฐชไม” วัย 53 ปี เคยร่วมหุ้นทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับ “เสถียร” ที่เป็นเพื่อนของพี่ชาย แต่ต่อมาได้เลิกกิจการเพราะปัญหาธุรกิจ ปัจจุบันมีธุรกิจที่ถือหุ้นร่วมกับเพื่อนพี่ชายคือ โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงกับคาราบาวกรุ๊ป
เธอมีลูกสาว 2 คน อายุห่างกัน 4 ปี คนโตคือ “ณัฐชนก วงษ์สวัสดิ์” หรือแจน วัย 27 ปี ปัจจุบันช่วยงานฝ่ายขายที่คาราบาวกรุ๊ป ส่วนน้องสาวคนเล็กทำงานเป็นผู้ประกาศช่องโทรทัศน์ทีเอ็นเอ็น
ลูกมีความรับผิดชอบ
ณัฐชไม : สมัยเด็กๆ ส่งลูกทั้งสองคนไปเรียนเมืองนอกพร้อมกัน ช่วงนั้นคนโตอายุ 13 ปี และคนเล็กอายุ 9 ขวบ เพราะน้องคนเล็กหรือเมย์เป็นคนขอ อยากไปเรียนต่างประเทศ จึงขอให้แจนไปเรียนเป็นเพื่อนน้องสาวที่สิงคโปร์
การเลือกเรียนให้อิสระเต็มที่ แจนจบปริญญาตรี สาขากราฟฟิกดีไซน์ และน้องสาว เมย์จบปริญญาตรี สาขามัลติมีเดีย จากมหาวิทยาลัยอะคาเดมีออฟอาร์ต
ลูกสาวทั้งสองใช้ชีวิตต่างประเทศมาตลอด ไม่เคยคิดว่าลูกสาวจะกลับมาใช้ชีวิตด้วยเร็วเช่นปัจจุบัน จุดเปลี่ยนสำคัญคือ การเสียชีวิตของสามีเมื่อ 3 ปีก่อน ทำให้ลูกสาวทั้งสองเปลี่ยนความคิดกลับมาอยู่เมืองไทย เป็นจังหวะเดียวกับที่แจนจบปริญญาตรี กลับมาไทยไม่ถึง 1 ปี จึงตัดสินใจที่จะเรียนต่อปริญญาโทด้านการเงินที่ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อต้องการมาช่วยงานที่บริษัท เพราะเห็นว่าทั้งสามผู้ก่อตั้งคาราบาวแดงไม่เก่งด้านการเงิน
ส่วนวิธีการสอนลูกจะไม่ใช้บังคับ แต่จะมีวิธีสอนให้รู้สึกกลับไปแอบคิดเอง เช่น สมัยเด็กยังนับตัวเลขไม่เป็น เคยพาลูกสาวไปซูเปอร์มาร์เก็ตจะให้เงินคนละ 20 บาท ไปเลือกซื้อของเอง คนโตจะใช้เงินซื้อของแค่ 1-2 บาท ที่เหลือเป็นเงินเก็บ ส่วนคนเล็กจะใช้เงินเกือบหรือหมดทั้งจำนวน สอนแบบนี้ต่อเนื่องจนลูกสาวคนเล็กเห็นพี่สาวมีเงินเก็บจำนวนมากจึงทำตาม และสอนว่าทำอะไรต้องรู้ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อแข่งเอาชนะเพื่อเป็นเดอะเบสต์เท่านั้น
ณ วันนี้ ถ้าถามว่าห่วงอะไรลูกสาวมากที่สุดตอนนี้คือเวลาขับรถ เพราะเริ่มเดินทางขับรถเอง หรือโดยเฉพาะหลังจากการดื่ม นอกนั้นในเรื่องที่ลูกสาวคนนี้มีอะไรต้องตัดสินใจจะเข้ามาปรึกษาอยู่แล้ว
สำหรับเรื่องการทำงาน ความคิดของลูกสาวทั้งสองไม่ห่วง เพราะมีความรับผิดชอบดีอยู่แล้ว ตอนนี้ให้แจนกลับมาช่วยงานฝ่ายขาย เพราะลูกสาวของ “แอ๊ด คาราบาว” จะกลับเข้ามาทำงานที่บริษัท จึงต้องให้เรียนรู้ตำแหน่งนี้ บวกกับงานฝ่ายขายกับภาวะเศรษฐกิจปีนี้จะเป็นโอกาสได้เรียนรู้งาน
วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะใช้เวลาอยู่กับลูกๆ ทั้งวัน ทั้งนั่งคุยกัน ออกกำลังกาย มีบางกิจกรรม เช่น T25 กับว่ายน้ำที่ทำร่วมกัน นวดหน้านวดตัว หรือเยี่ยมคุณยาย ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะเป็นวันที่คุณแม่และลูกๆ จะใช้เวลาอยู่ร่วมกัน เพราะคุณแม่จะอยู่ที่บ้านที่ จ.นนทบุรี ในวันทำงาน ส่วนแจนจะพักอยู่คอนโดมิเนียมในเมือง จะกลับบ้านเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
แม่เป็นผู้เสียสละ
ณัฐชนก : พูดถึงการเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กว่า จะได้อิสระในการเลือกเรียน หลังจบปริญญาตรีกราฟฟิกดีไซน์ ไปเรียนในสายงานอินทีเรียร์มาประมาณครึ่งปี ก่อนจะกลับมาช่วยงานฝ่ายขายที่บริษัทราว 1 ปี จากนั้นจึงขอแม่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ศศินทร์ พอจบได้เข้ามาทำงานฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ 6 เดือน แต่ตอนนี้กลับไปดูงานฝ่ายขายอีกครั้ง เพราะแม่ขอให้ช่วย การทำงานที่เรียนรู้ซึมซับจากแม่ตั้งแต่เด็ก มีระบบระเบียบวางแผนการทำงาน
ส่วนแม่สอนว่า เวลาทำงานที่บริษัทไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหนต้องพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ เป็นฟันเฟืองสำคัญจำเป็นกับทีม มีส่วนขับเคลื่อนทีมให้เดินไปข้างหน้า ส่วนเรื่องที่ได้เรียนรู้หลักการจากแม่ในการทำงานร่วมกันคือ จะทำอะไรต้องรู้เป้าหมาย มีการวางแผนการล่วงหน้า ทำงานเป็นลำดับ ต้องละเอียดครอบคลุมงานได้ทั้งหมด
หากจะพูดถึงแม่ ถือเป็นผู้เสียสละทุกอย่างให้ครอบครัว เพราะแจนกับน้องสาวไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก ไม่เคยถูกบังคับให้เรียนอะไร จนกลับมาทำงานที่ชอบ มีจุดเปลี่ยนสำคัญของความคิดคือ ช่วงที่คุณพ่อเสียครอบครัวมีขนาดเล็กลง ต่อจากนี้ไปจึงอยากจะทำเพื่อความสุขของแม่ อะไรที่ทำให้แม่มีความสุขจะพยายามทำให้ แม้อาจไม่ได้ทุกเรื่อง แต่ยอมรับว่างานฝ่ายขายอาจไม่ใช่งานที่ถนัด แต่แม่อธิบายว่าเป็นสิ่งที่วางในอนาคตและอยากให้ทำ
เรื่องห่วงที่สุดในตัวคุณแม่คือสุขภาพ แต่ตอนนี้คุณแม่ออกกำลังกายทุกวัน โดยปั่นจักรยานวันละ 12 กิโลเมตร หรือว่ายน้ำระยะ 500 เมตร อย่างใดอย่างหนึ่ง
สิ่งที่แม่บอกกับลูกๆ เสมอตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้คือ ทั้งคู่คือแก้วตาดวงใจ เหมือนต้องอยู่กับเราตลอดเวลา บางช่วงเวลาที่มีปัญหาความเห็นไม่ตรงกันระหว่างแม่กับลูก แม่จะไปเรียกมานั่งคุยเหตุผลกันจนกว่าจะเข้าใจกัน มักไม่ให้ปล่อยปัญหาค้างข้ามคืน ซึ่งทุกครั้งจะจบลงด้วยการกอดกัน