เรื่องเล่า จากรั้วทหาร ร.ท.หญิง ทพญ.ปวีณา ศิลปผดุง
ทันทีที่ได้ยินเรื่องราวของการเป็นแพทย์ทหารของ ร.ท.หญิง ทพญ.ปวีณา ศิลปผดุง ก็ชวนให้นึกถึง “ผู้หมวดยุนมยองจู”
โดย...พุสดี
ทันทีที่ได้ยินเรื่องราวของการเป็นแพทย์ทหารของ ร.ท.หญิง ทพญ.ปวีณา ศิลปผดุง ก็ชวนให้นึกถึง “ผู้หมวดยุนมยองจู” แพทย์ทหารหน้าใสจากซีรี่ส์เรื่องดังที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง “Descendants Of The Sun” ไม่ได้ แม้เรื่องราวของทันตแพทย์หญิงตรงหน้า จะไม่ได้ดราม่า ต้องไปเจอกับแผ่นดินไหว หรือติดโรคระบาดแบบในซีรี่ส์ ได้ปลูกต้นรักกับจ่าในกอง แต่อย่างน้อยเรื่องราวของเธอก็มีความน่าประทับใจและไม่ลืมที่ไม่แพ้กัน
โบกมือลากรุงเทพฯ แบกเป้ไปเข้ากรม
ร.ท.หญิง ทพญ.ปวีณา ศิลปผดุง หรือ อุ้ม พาย้อนความไปสู่โมเมนต์อันน่าประทับใจของชีวิตว่า หลังจากเรียนจบคณะทันตแพทย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นช่วงที่ต้องใช้ทุนด้วยการไปทำงานตามโรงพยาบาลประจำอำเภอ หรือไปเป็นแพทย์ตามต่างจังหวัด เธอยอมรับว่า โจทย์ของเธอตอนนั้น คือ ไม่อยากเดินทางจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัด จึงเลือกสมัครไปเป็นอาจารย์เพื่อใช้ทุนแทน แต่ปรากฏว่าผิดหวัง เลยต้องย้อนกลับมาสู่จุดที่ตัดสินใจยากอีกครั้งว่า จะเลือกไปใช้ทุนที่จังหวัดไหน เพียงแต่คราวนี้โจทย์ยิ่งยากขึ้น เพราะจังหวัดใกล้ๆ มักถูกเลือกไปหมดแล้ว
“ระหว่างที่กำลังตัดสินใจปรากฏว่า กองทัพบกซึ่งส่วนใหญ่เขาจะคัดรายชื่อจากคนที่หลุดจากการสมัครเป็นอาจารย์มาทาบทามให้ไปเป็นแพทย์ทหาร ตอนนั้นรู้สึกจะมีให้เลือก 6 จังหวัด ได้แก่ จ.พะเยา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วก็ภาคอีสานอีก 2 จังหวัด ตอนแรกอุ้มก็ลังเลนะ โชคดีที่คุณอาก็เป็นหมอทหาร เลยโทรไปปรึกษา ท่านก็บอกว่ามีคนรู้จักที่ จ.พะเยา บอกว่าเป็นหมอทหารไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ คุณพ่ออุ้มก็ขับรถพาไปดูก่อน ก็โอเค อุ้มก็ตัดสินใจไปอยู่ จ.พะเยา อย่างน้อยถ้าอยากกลับบ้านก็มีสนามบินเชียงรายอยู่ไม่ไกล”
ถามว่า เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมาเป็นหมอทหาร ได้ติดยศ สวมเครื่องเเบบทหาร อุ้มยอมรับว่าไม่เคยคิดเลย ตอนแรกที่ต้องใส่รองเท้าคอมแบตยังใส่ไม่เป็น ต้องให้รุ่นพี่ในกรมช่วยแต่งตัวให้ (หัวเราะ) เลย สำหรับโรงพยาบาลที่อุ้มไปประจำการ เรียกว่า โรงพยาบาลค่ายขุนเจืองธรรมิกราช เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ ใน จ.พะเยา เธอไปประจำการในฐานะหมอฟันคนเดียว เพราะฉะนั้นไปถึงก็ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าแผนกเลย
“พอมาประจำการอุ้มถึงได้รู้ว่า โรงพยาบาลนี้ไม่มีหมอฟันมา 10 ปีแล้ว จะมีเพียงคุณลุงที่เป็นนายสิบทันตกรรมไม่ได้มีใบปริญญา แต่ทำหน้าที่บางอย่างแทนหมอฟันได้ เช่น ถอนฟัน ขูดหินปูน อุ้มไปถึงนี่คือเข้าไปบุกเบิกเลย ต้องสั่งอุปกรณ์มาใหม่หมด ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเข้าที่เข้าทาง ส่วนเรื่องที่พัก ทางค่ายมีบ้านพักให้ทั้งหลัง แต่ภาพแรกที่ไปเห็นคือหน้าบ้านมีโคลนเต็มไปหมด คืนแรกต้องไปอยู่ที่ห้องพักรับรองก่อน แล้วค่อยให้พลทหารมาช่วยเก็บกวาดทำความสะอาด”
อุ้ม ยอมรับว่า เส้นทางที่เธอเลือกในครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต และการทำงาน จากเดิมทำงานกับเพื่อนร่วมงานเป็นผู้หญิง ก็กลายเป็นมีผู้ช่วยเป็นคุณลุงนายสิบทันตกรรม คนไข้ก็เป็นบรรดาชายชาติทหาร ซึ่งภายนอกอาจจะดูแข็งแกร่ง แต่พอเจอถอนฟันเข้าไปก็น้ำตาไหลเหมือนกัน (หัวเราะ)
ที่สุดแห่งความปลาบปลื้ม
หลังจากมาประจำการได้สักระยะ ก็ถึงช่วงเวลาวัดใจ เมื่อถึงคราวที่อุ้มต้องลงพื้นที่ไปปฏิบัติหน้าที่ยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เธอรู้ตั้งแต่ก่อนเข้ามารับราชการแล้ว แต่ก่อนที่จะลงไปประจำการที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องแวะเข้าไปเปลี่ยนเวรที่วังไกลกังวลก่อนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพราะที่นั่นมีฟรีคลินิกสำหรับรักษาให้ประชาชนฟรี
“ช่วงที่อุ้มไปถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่วังไกลกังวลพอดี แต่อุ้มคิดว่า เราคงไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่าน เพราะจากประสบการณ์รุ่นพี่ที่เคยมา ก็บอกว่าโอกาสที่จะได้รับเสด็จฯ พระองค์ท่านยากมาก ปรากฏว่าวันหนึ่งนายสิบมาแจ้งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงตรวจเช็กบาดแผลหลังจากทรงทำรากฟันเทียม ให้เราไปเตรียมอุปกรณ์ให้เรียบร้อยเพื่อรออาจารย์หมอ”
อุ้ม บอกว่า ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกว่าจัดเตรียมอุปกรณ์ครบถ้วนหรือไม่ อุ้มบอกว่าถึงจะไม่มีโอกาสได้ถวายการรักษา แต่ในชีวิตนี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เตรียมอุปกรณ์ให้อาจารย์หมอที่จะถวายการรักษาพระองค์ท่าน
“ตอนแรกกำหนดการ ระบุว่า พระองค์ท่านจะเสด็จฯ มาตอน 4 โมง พวกเรารอจน 3 ทุ่มก็แล้ว ก็ยังไม่เสด็จฯ มา จนกระทั่งเกือบ 5 ทุ่ม พระองค์ท่านถึงเสด็จฯ มา สำหรับอุ้มแค่ได้เห็นพระองค์ท่านก็ถือเป็นรางวัลของคนทำงานแล้ว เป็นสิริมงคลกับชีวิตเหลือเกิน”
แบกเป้ตะลุย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
1 อาทิตย์ผ่านไป ก็ถึงเวลาเผชิญกับสิ่งที่หวั่นใจไม่น้อย เพราะอุ้มบอกว่าช่วงที่ต้องไปเป็นช่วงประมาณปี 2549-2550 ซึ่งสถานการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ช่วงนั้นค่อนข้างรุนแรง
“ถามว่ากลัวมั้ย ก็กลัวนะ ปกติเราเป็นเด็กห่างบ้าน อยู่หออยู่แล้ว เวลาต้องห่างบ้าน ที่บ้านก็ไม่ได้ห่วง แต่ตอนลงใต้นี้ คุณพ่อคุณแม่โทรอวยพรทุกวัน (หัวเราะ) ตอนช่วงที่ลงไปใต้ เราไปแบบไม่แพลนนะ เพราะว่าเขาก็ไม่อยากให้มีใครรู้ว่ากำหนดการเราจะไปไหนบ้าง”
ประสบการณ์ลงพื้นที่เป็นเวลา 2 อาทิตย์ครั้งนั้น สำหรับอุ้มถือเป็นอีกช่วงชีวิตที่ทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย อย่างเรื่องการแต่งตัว อุ้มต้องใส่เครื่องแบบทหารที่เอาไปแค่ 2 ชุด สลับกัน ไม่มีโอกาสได้ซัก ต้องอาศัยเปลี่ยนเสื้อยืดตัวข้างในเอา เวลานั่งรถตู้ก็ห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่ใส่เสื้อกันกระสุน เวลาไปในเส้นทางที่ไม่แน่ใจที เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็ต้องลงไปตรวจเช็กก่อน
“จำได้ว่าช่วงที่ไปเราก็ฟังข่าว ปรากฏว่ามีทีหนึ่งที่เราเพิ่งไปมาเมื่อวาน พออีกวันก็เกิดเหตุระเบิดเลย มองย้อนกลับไป ชีวิตตอนนั้นมันเต็มไปด้วยความกลัวและสนุกคละเคล้ากันไป”
บทเรียนชีวิตได้มาเมื่อเกือบเสีย (ชีวิต) ไป
ภารกิจที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านไปด้วยดี อุ้มกลับมาประจำการที่ จ.พะเยา อีกครั้ง ชีวิตเหมือนจะดำเนินไปตามครรลอง แต่จู่ๆ ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
“วันนั้นเป็นวันเกิดของแฟนอุ้ม อุ้มตั้งใจตื่นแต่เช้ามาเตรียมเค้กวันเกิด กะบินกลับไปเซอร์ไพรส์ แต่ด้วยวันนั้นเราออกจากบ้านช้ากว่าที่ตั้งใจ ใจก็กลัวว่าจะตกเครื่อง เลยรีบร้อนไปสนามบิน อุ้มยอมรับว่า ด้วยความที่เป็นช่วงเช้ามืด รถไม่ติด เลยขับรถไป จ.เชียงราย ด้วยความเร็วสูง จู่ๆ มีมอเตอร์ไซค์ขับตัดหน้า พอหักหลบ รถก็พลิกคว่ำหมุนไปหลายตลบ
“นาทีนั้นอุ้มคิดในใจว่า นี่คือวันตายของเรา ใจนึกถึงพ่อแม่ ครอบครัว คนที่รักตลอดเวลา แต่ปรากฏว่า จู่ๆ พอนาทีชีวิต นาทีวิกฤตที่รถพลิกคว่ำไปติดที่เกาะกลางถนน รถอยู่ในสภาพกลับหัว เราก็ยังรู้ตัวตลอด แถมร่างกายก็ไม่มีบาดแผล นาทีนั้นเริ่มได้กลิ่นเหม็นไหม้ ด้วยความที่ดูหนังเยอะ (หัวเราะ) เลยคิดว่าต้องรีบออกจากรถก่อนที่รถจะระเบิด พยายามหาทางออกจากรถ แต่ปรากฏเราไม่สามารถเปิดประตู เปิดกระจกได้ เอามือทุบกระจกก็ไม่มีประโยชน์ จนพอเรียกสติได้ เลยเอาที่ล็อกพวงมาลัยมาทุบกระจก ปรากฏกระจกแค่ร้าวแต่ไม่แตก เราก็คิดในใจ รถคว่ำไม่ตาย แต่ก็ต้องมาตายเพราะรถระเบิดซินะ”
ระหว่างที่รอคอยความตาย ปรากฏว่ามีคนมาช่วยกันพลิกตะแคงรถ และพาเธอออกมาจากรถได้สำเร็จ ก็รีบไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าเราไม่มีอาการบาดเจ็บ หรือบาดแผลภายนอกใดๆ แต่เพื่อความแน่ใจ หมอเลยให้เอกซเรย์คอ พบว่ากระดูกคอเลื่อนนิดหน่อย จากเหตุการณ์ครั้งนั้นอุ้มยอมรับว่า ทำให้อุ้มใช้ชีวิตระวังมากขึ้น
“ที่ตลกคือ สภาพรถเรายับเยินแบบไม่ต้องซ่อมนะ แต่ไม่รู้ใครยังอุตส่าห์เอาเค้กวันเกิดที่เราทำออกมาให้ ซึ่งสุดท้ายแฟนก็เอามากิน ปรากฏว่าเจอเศษกระจกในเค้กด้วย (หัวเราะ) ที่ตลกกว่านั้น คือ พอดีก่อนหน้านี้อุ้มกับแฟนเพิ่งไปดูหนังเรื่องแฮปปี้ เบิร์ธเดย์ ซึ่งนำแสดงโดย อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม เป็นเรื่องของผู้หญิงที่ประสบอุบัติเหตุในวันเกิดของพระเอกจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา หลังจากนั้นก็มาเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันกับเรา พอแฟนอุ้มมีโอกาสเจออนันดา ซึ่งเป็นลูกค้าร้านเขาพอดี เลยเล่าให้อนันดาฟัง เขายังพูดติดตลกว่า แต่แฟนไม่ได้เป็นแบบนางเอกในเรื่องใช่มั้ย (หัวเราะ)”
มาถึงวันนี้ แม้อุ้มจะลาออกจากการรับราชการแล้ว แต่ประสบการณ์ร่วม 5 ปี ในฐานะแพทย์ทหารก็เป็นช่วงชีวิตที่เธอไม่มีวันลืม และหากย้อนเวลากลับไปได้เธอก็ยังยืนยันจะเลือกเส้นทางเดิม เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง คือ ประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้เธอเป็นเธอในวันนี้