เรืองไกร จี้ กกต.สอบ ชลน่าน อาจหาเสียงหลอกลวงประชาชน ขู่ ยุบพรรคเพื่อไทย
รณรงค์หาเสียง ไล่หนู ตีงูเห่า ตามหลอกหลอน เรืองไกร ยื่น กกต.ตรวจสอบ ยกพรป.เลือกตั้งสส.มาตรา73(5) มาตรา159 ขึ้นขู่ ชลน่าน-เพื่อไทย หาเสียงเข้าข่ายหลอกลวง อาจเข้าข่ายยุบพรรคเพื่อไทย ชี้ คำพูด ชลน่าน เป็นแค่ เทคนิคหาเสียงขอคะแนน ไม่เคยมอง ภูมิใจไทย เป็นศัตรู
วันที่ 8 ส.ค. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า กรณีที่นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 66 ที่พรรคเพื่อไทยนั้น การที่ นายชลน่าน ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า
“ไล่หนูตีงูเห่า มันเป็นภาพของการรณรงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงเลือกตั้ง กิจกรรมแต่ละครั้ง จัดบนวัตถุประสงค์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ มิติทางการเมือง เราไปขอเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน เราไม่เคยประกาศว่า เราเป็นศัตรูกับใคร เราเป็นคู่แข่งกันจริง เทคนิคการหาเสียง วิธีการหาเสียง ต่างฝ่ายต่างมี อันนี้เรียนด้วยความเคารพว่า เราไม่เคยคิดว่าเป็นศัตรูกัน”
นายเรืองไกรกล่าวว่า กรณีการให้สัมภาษณ์ของนายชลน่าน ศรีแก้ว ต่อสื่อมวลชนดังกล่าว ซึ่งมีการลงข่าวอย่างแพร่หลายรวมทั้งคลิปวิดีโอด้วย จึงเป็นข้อเท็จจริงเพียงพอที่ควรจะขอให้ กกต. ตรวจสอบนายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับพวกว่า การหาเสียงดังกล่าว เข้าข่ายกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ด้วยวิธีการ หลอกลวง หรือจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ตามความในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 (5) และจะมีโทษตามมาตรา 159 หรือไม่
ตนจึงได้ส่งหนังสือถึง กกต. ทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ กกต. ดำเนินการตรวจสอบต่อไป
สำหรับเนื้อหา มาตรา159 กำหนดว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 73 (3) (4) หรือ (5) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี และให้นำความในมาตรา 158 วรรคสอง มาใช้บังคับด้วยนั้น มีเนื้อหาว่า
"ในกรณีที่พรรคการเมืองกระทำความผิดตามมาตรา 75 หัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรค ของพรรคการเมืองนั้น ซึ่งรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองของพรรคการเมืองนั้น และให้ถือเป็นเหตุที่จะยุบพรรคการเมืองนั้นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง"