'พิชัย' ชี้แก้สัญญาไฮสปีดจ่อ ครม.ใน 2 สัปดาห์ ยอมรับล่าช้า
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ประธานบอร์ด EEC ชี้แก้สัญญารถไฟไฮสปีดอีอีซี คาดว่าจะใช้เวลาอีก2สัปดาห์เสนอ ครม.ยอมรับมีความล่าช้า ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด รอฟังความเห็นแต่ละกระทรวงก่อน
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 เมื่อเวลา 09.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยถึงไทม์ไลน์การเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาการแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ( สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน ดอนเมือง -สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หลังบอร์ดอีอีซีปรับแก้ไขสัญญา ว่า ไทม์ไลน์ขณะนี้ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูก่อน ซึ่งปกติ จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์บวกลบ จึงจะสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้
เมื่อถามว่า รายละเอียดของสัญญามีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขส่วนใดบ้างนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด ขอเวียนดูความเห็นของแต่ละกระทรวงก่อน
เมื่อถามย้ำว่า เมื่อมีการแก้ไขรายละเอียดเช่นนี้จะต้องทำสัญญาใหม่หรือไม่ นายพิชัย กล่าวย้ำว่า ต้องขอดูความเห็นขอแต่ละกระทรวงและ ครม.ก่อน ส่วนไทม์ไลน์จะถูกเลื่อนออกไปหรือไม่นั้น ทุกวันนี้ก็เลื่อนอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 เห็นชอบหลักการการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยการปรับปรุงสัญญาร่วมลงทุนเพื่อผลักดันให้โครงการฯ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ บนพื้นฐานที่ภาครัฐไม่เสียประโยชน์ และภาคเอกชนไม่ได้ประโยชน์เกินสมควร โดยจะเสนอการแก้ไขสัญญาต่อ ครม. เพื่อพิจารณาใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย
1) วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิม เมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ รัฐจะแบ่งจ่ายเป็นจำนวน 149,650 ล้านบาท เป็น จ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท. ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท โดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้ภายใน 5 ปี ทั้งนี้ กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของภาครัฐ (รฟท.) ทันทีตามงวดของการจ่ายเงิน
2) กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ในการนี้ เอกชนจะต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร ในมูลค่าเท่ากับ ค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่นที่ รฟท. ต้องรับภาระ
3) กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการฯ ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ และเป็นผลให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% รฟท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชําระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกันต่อไป
4) การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้ รฟท. สามารถออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมดนี้
5) การป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ โดยปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น