EV: อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าที่จะครองถนนทั่วโลก ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าและชีวิตเราอย่างไร?
อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นที่นิยม และถ้าหากเราจะหันมาเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV สักคัน จะมีอะไรที่เราควรคำนึงถึง และหากทุกบ้านทุกคนหันมาใช้ EV กันหมด ระบบไฟฟ้าที่เรามีใช้ในประเทศจะรองรับความต้องการพลังงานได้อย่างเพียงพอหรือไม่
Highlights
- ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแตะ 6.6 ล้านในปี 2564 เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าจากสองปีก่อนหน้า
- ในโลกของพลังงานสะอาดนั้น ว่ากันว่ามีเพียงไม่กี่พื้นที่ที่มีพลังขับเคลื่อนเท่ากับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2555 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมแค่ประมาณ 130,000 คันทั่วโลก แต่ในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 10 ปีจนวันนี้้ เพียงแค่สัปดาห์เดียวยอดขาย EV กลับพุ่งแรงไม่หยุด!
- สำหรับในประเทศไทยนั้น รัฐบาลได้วางเป้าว่าภายในปี 2573 จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน และปี 2583 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมากกว่ารถยนต์แบบเดิม
--------------------
สิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับ EV
การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้านั้นเป็นที่น่าประทับใจเป็นพิเศษในช่วงสามปีที่ผ่านมา แม้ในขณะที่การระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้ตลาดรถยนต์ทั่วไปหดตัว และในขณะที่ผู้ผลิตเริ่มต่อสู้กับปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน ในปี 2562 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารวม 2.2 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วน 2.5% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก
ในปี 2563 ตลาดรถยนต์โดยรวมเริ่มหดตัว แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากลับไม่หยุดแรง โดยเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคัน และคิดเป็น 4.1% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ในปี 2564 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 6.6 ล้าน คิดเป็นเกือบ 9% ของตลาดรถยนต์ทั่วโลก และมากกว่าสามเท่าของส่วนแบ่งการตลาดเมื่อสองปีก่อน การเติบโตสุทธิของยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2564 มาจากรถยนต์ไฟฟ้า
เราประเมินว่าขณะนี้มีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งอยู่บนท้องถนนประมาณ 16 ล้านคันทั่วโลก โดยใช้ไฟฟ้าประมาณ 30 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับไฟฟ้าที่ผลิตในไอร์แลนด์ทั้งหมด
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle) หรือเราเรียกกันสั้นๆ ว่า “รถ EV” พูดง่ายๆก็คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทนการใช้งานของเครื่องยนต์ ที่ทำให้กลไกการทำงานลดลง ไม่ต้องหมั่นดูแลเครื่องยนต์ และไม่มีไอเสีย ควันดำ จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง โดยรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีทั้งหมด 4 ประเภท แต่แบบที่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้นั้น มีด้วยกัน 2 ชนิดคือ
1. Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV)
รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือเรียกสั้นๆว่า PHEV รถยนต์ประเภทนี้มีทั้งระบบน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าแบบเดียวกับรถ Hybrid แต่พิเศษกว่าคือสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟจากภายนอกได้ ทำให้สามารถใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าระบบไฮบริดแบบเดิม สำหรับขนาดแบตเตอรี่ 6-14 กิโลวัตต์ (kW) ระยะทางวิ่งด้วยระบบ EV Mode ประมาณ 25-50 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
2. Battery Electric Vehicle (BEV)
รถยนต์ไฟฟ้า หรือเรียกสั้นๆว่า BEV รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อน 100% ที่ไม่มีเครื่องยนต์ภายในรถ มีแต่แบตเตอรี่ลูกใหญ่ที่เข้ามาทดแทน ข้อดีคือช่วยลดสารมลพิษจากการเผาไหม้ได้ดี หรือที่เขาเรียกกันว่า Zero Emission แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อยทั้งสถานีชาร์จไฟรถยนต์ และระยะทางในการขับขี่ สำหรับขนาดแบตเตอรี่ 60-90 กิโลวัตต์ (kW) ระยะทางวิ่งประมาณ 300-600 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่แบบ? ใช้เวลานานเท่าไหร่?
สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลักๆ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่
- การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) เป็นการชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30(100)A และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ที่ใช้ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม.
- การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge) เป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถให้เต็มเร็วยิ่งขึ้น โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม.
- การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge) เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ตรงเข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที นิยมใช้ตามสถานีบริการนอกบ้าน ที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ได้แก่ CHAdeMo, GB/T และ CCS เป็นต้น
หัวชาร์จสำหรับรถแต่ละรุ่นแบบด่วน (Quick Charge)
DC CHAdeMo ย่อมาจากคำว่า CHArge de Move แปลได้ว่า ชาร์จไฟแบบเร็วสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งระบบ CHAdeMO มีการใช้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW
DC CCS2 ย่อมาจาก Combined Charging System เป็นหัวชาร์จที่นิยมใช้ในแถบทวีปยุโรป จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW
ความเร็วในการชาร์จไฟรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับไฟ (On Board Charger) ของรถยนต์แต่ละรุ่น หรือก็คือตัวควบคุมการดึงพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถ สั่งการไปยังเครื่อง EV Charger โดยทั่วไปขนาดมีตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ซึ่งทำให้ตัวเครื่องชาร์จออกแบบมาให้มีทั้งหมด 4 ขนาด คือ 3.7 kW, 7.4 kW, 11 kW, 22 kW (มาตรฐาน) ราคาเครื่องชาร์จหลากหลายมีตั้งแต่ 15,000-100,000 กว่าบาท(แล้วแต่ยี่ห้อ)
ยกตัวอย่าง : สมมุติว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีแบตเตอรี่รับไฟสูงสุด 6.6 kW/h โดยมีขนาดแบตเตอรี่เต็ม 40 kW เราต้องใช้เวลาชาร์จจนเต็มประมาณ 6 ชั่วโมง (หรือเอา 40 หาร 6.6 ได้เลย) โดยเราสามารถเลือกเครื่องชาร์จไฟขนาดไหนมาใช้ก็ได้ แต่ความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มจะไม่เท่ากัน
จีนและยุโรปเป็นผู้นำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นผู้นำการเติบโตในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2564 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเป็น 3.4 ล้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในปี 2564 รถยนต์ไฟฟ้าขายได้เฉพาะในจีนเพียงประเทศเดียวมากกว่าที่ขายทั่วโลกในปี 2563 เป้าหมายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีนก็คือ ต้องการให้รถยนต์ไฟฟ้ามีส่วนแบ่งการตลาดถึง 20% ในปี 2568 ทั้งปี และผลงานในปี 2564 บ่งชี้ว่าอยู่ในแนวทางที่ดี ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลจีนที่ขยายเวลาออกไปหลังการระบาดของโควิด-19
ส่วนในยุโรป ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ในปี 2564 เป็น 2.3 ล้านคัน โดยครึ่งหนึ่งเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรปในปีที่แล้วได้รับแรงหนุนบางส่วนจากมาตรฐานการปล่อย CO2 ใหม่ เงินอุดหนุนการซื้อสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นและขยายตัวในตลาดยุโรปหลักๆ ส่วนใหญ่เช่นกัน ยอดขายรายเดือนในปี 2564 สูงที่สุดในไตรมาสสุดท้ายของปี โดยสูงสุดในเดือนธันวาคมเมื่อยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปแซงหน้ารถยนต์ดีเซลเป็นครั้งแรกด้วยส่วนแบ่งตลาด 21%
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในปี 2564 คือเยอรมนี โดยที่รถยนต์ใหม่มากกว่าหนึ่งในสามที่จำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมเป็นรถยนต์ไฟฟ้า โดยรวมแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 17% ของยอดขายในยุโรปทั้งหมดในปี 2564 แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในตลาดอื่นๆ เช่นที่นอร์เวย์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนอยู่ที่ 72% ส่วนสวีเดนและเนเธอร์แลนด์อยู่ที่ 45% และ 30% ตามลำดับ
นโยบายของรัฐบาลยังคงเป็นแรงผลักดันหลักสำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก แต่พลวัตของตลาดเองในปี 2564 ก็ยังสะท้อนให้เห็นว่า เป็นปีที่คึกคักมากของอุตสาหกรรมยานยนต์ การประกาศ เป้าหมาย และการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ได้ช่วยเสริมมุมมองที่ว่าอนาคตของรถยนต์คือพลังงานไฟฟ้า ในเวลาเดียวกัน ความสำเร็จครั้งใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าก็ถูกท้าทายด้วยการซัพพลายส่วนประกอบจำนวนมากและราคาวัสดุมากมายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความกังวลด้านอุปทานกลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม
ในช่วงปี 2563 และ 2564 รัฐบาลหลายแห่งตั้งเป้าหมายที่จะยุติการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปให้ได้ภายในภายในสองทศวรรษข้างหน้า เช่นเดียวกับผู้ผลิตรถยนต์หลายราย รถยนต์ไฟฟ้าได้กลายเป็นเทคโนโลยีการขนส่งทางถนนที่หลายรัฐบาลและอุตสาหกรรมยานยนต์เลือกใช้ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศในเดือนพฤศจิกายน 2564 ว่ามีเป้าหมายว่า ภายในปี 2573 ปริมาณรถยนต์ใหม่ที่ผลิตออกมาสู่ตลาด 50%จะใช้พลังไฟฟ้าเป็นหลัก โดยได้รับการสนับสนุนจากการประกาศติดตั้งจุดชาร์จ 500,000 จุด เพื่อช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
ในยุโรป คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอให้นำมาตรฐานการปล่อย CO2 สำหรับรถยนต์ใหม่เป็นศูนย์ภายในปี 2578 ส่วนผู้ผลิตรถยนต์หลายรายก็ประกาศเป้าหมายการใช้พลังงานไฟฟ้า เช่น โฟล์คสวาเกนกล่าวว่า ครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดจะเป็นยานยนต์พลังไฟฟ้าภายในปี 2573 ส่วนฟอร์ดบอกว่า คาดว่ายอดขาย 40%-50% จะเป็นพลังงานไฟฟ้าภายในสิ้นทศวรรษนี้ อีกก้าวที่สำคัญในปี 2564 คือคำกล่าวของโตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศการลงทุนครั้งใหม่โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 3.5 ล้านคันต่อปีภายในปี 2573!
การยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยผู้ผลิตรถยนต์รายดั้งเดิมในตลาด มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างมากมายต่อตลาด ในขณะที่ผู้ผลิตปรับกลยุทธ์การใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาด เราจะเห็นทรัพยากรที่ทุ่มเทให้กับการโฆษณามากขึ้น มีการกำหนดราคาที่ก้าวร้าวมากขึ้น และการพัฒนาโมเดลไฟฟ้าที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้น
ในยุโรป Volkswagen ได้เปิดตัวซีรีส์ ID ในขณะที่ Stellantis นำเสนอรถยนต์ EV รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม ในสหรัฐอเมริกา ฟอร์ดเปิดตัว MachE ใหม่ ส่วน Stellantis และ Toyota ต่างก็เปิดตัวปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปนั้น รถยนต์รุ่นใหม่จำนวนมากที่มีส่วนทำให้ยอดขาย EV สูงขึ้นนั้นเป็นรถยนต์ระดับพรีเมียม ในประเทศจีน รถยนต์ EV-only ระดับพรีเมียมที่ผลิตโดยบริษัทสตาร์ทอัพของจีนมียอดขายถึง 300,000 คัน แต่รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในจีนคือ Wuling Hongguang Mini EV ซึ่งมียอดขายไม่ถึง 400,000 คันในปี 2564 โดยรวมแล้ว การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในกลุ่มต่างๆ ของตลาดรถยนต์มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นความต้องการอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จของ Ford F150 Lighting เป็นตัวอย่างที่ดี ด้วยยอดสั่งซื้อมากกว่า 200,000 คันและทำให้บริษัทเพิ่มเป้าหมายการผลิต
คำถามสำคัญ!
การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะทำให้โครงข่ายไฟฟ้าพังหรือไม่? บางคนโต้แย้งว่า EVs จะทำให้กริดไม่เสถียร ซึ่งอาจหมายถึงการลงทุนอย่างหนักเพื่ออัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เพื่อให้ทนต่อการใช้ไฟฟ้า
อนาคตอันใกล้ของ EV ในยุโรป
เนื่องจากสหภาพยุโรปมีเป้าหมายที่จะห้ามการขายรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2573 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า ผู้ซื้อรถยนต์รายใหม่จะมีทางเลือกสามทาง ได้แก่ รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV) รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) หรือรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ปัจจุบันมีการขาย PHEV และ BEV ไปแล้วกว่า 4 ล้านคันทั่วโลก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 125 ล้านคันภายในปี 2030
คำถามก็คือ การใช้ EV ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อโครงข่ายไฟฟ้าหรือไม่ อย่างไร / ELECTRIC VEHICLE GRID IMPACT
ข้อเท็จจริง: หาก 80% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมดใช้ไฟฟ้า จะส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าโดยรวมเพิ่มขึ้น 10-15%
จนถึงตอนนี้ การเข้าสู่ตลาดของ EV สามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น และกริดไฟฟ้าก็ได้รับการพัฒนาควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มตลาด EV ปัจจุบันแสดงอัตราการรับพลังงานต่ำถึงปานกลาง
จากผลการศึกษาของ McKinsey & Company ระบุว่าการเติบโตของ e-mobility หรือ การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ที่คาดการณ์ไว้ จะไม่ส่งผลให้ความต้องการพลังงานไฟฟ้าจากโครงข่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในทันทีหรือเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งหมายความว่า EV ไม่น่าจะส่งผลทำให้เกิดการหยุดชะงักในแหล่งจ่ายไฟของเรา และไม่มีความจำเป็นสำหรับกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้
ตัวอย่างในเยอรมนี การเติบโตของ EV จะไม่ทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในปี 2030 เพราะ EV จะเพิ่มสัดสัดเพียงแค่ 1% ในยอดรวมและต้องการกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีกประมาณ 5 กิกะวัตต์ (GW) ปริมาณดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4% ภายในปี 2593 ซึ่งจะต้องใช้กำลังการผลิตเพิ่มเติมประมาณ 20 GW เท่านั้น นอกจากนี้ กำลังการผลิตที่เกิดขึ้นใหม่นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น ซึ่งรวมถึงพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยการผลิตพลังงานจากก๊าซบางส่วน
ในขณะเดียวกัน รถยนต์ไฟฟ้ายังประหยัดพลังงานมากกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE - Internal Combustion Engine) ที่ดีที่สุดถึง 5 ถึง 6 เท่า ในรถยนต์นั่งส่วนบุคคล EVs ใช้พลังงาน 25% เมื่อเทียบกับรถยนต์ ICE ส่วน E-trucks ใช้พลังงานประมาณ 50% ของพลังงานเทียบเท่าดีเซล
ซึ่งหมายความว่า เมื่อยานพาหนะส่วนใหญ่บนถนนของเราเป็นไฟฟ้า ปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในการขนส่งจะน้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างมาก และยานพาหนะไฟฟ้ายังคงมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
EV ในประเทศไทย
สำหรับในประเทศไทยนั้น รัฐบาลได้วางเป้าว่าภายในปี 2573 จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน และปี 2583 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมากกว่ารถยนต์แบบเดิม เช่นเดียวกับสถานีบริการน้ำมันจะหันไปสู่ธุรกิจให้บริการแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแทน ขณะที่ค่ายรถยนต์ทุกแห่งต่างหันเข้าสู่สนามการผลิตใหม่กันถ้วนหน้า เห็นได้จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) โดยค่ายรถยนต์ทั้ง นิสสัน โตโยต้า มาสด้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ ออดี้ เอ็มจี เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ที่เห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ชนิดนี้
ขณะที่คณะกรรมการ นโยบายยานยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดEV) มีนโยบายผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 100 ในปี 2578 จำนวนรวม 18.41 ล้านคัน
แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยเช่นกัน หนึ่งในปรากฏการณ์ที่สะท้อนแนวโน้มการบริโภคที่ยั่งยืน คือ ความต้องการลดการปล่อยมลพิษด้วยการหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) มีข้อมูลทางสถิติจากศูนย์วิจัยอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ สถาบันยานยนต์ ระบุว่า ในปี 2563 มีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 36,750 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 13%
โครงสร้างสำหรับการขับขี่และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ไทยมีอะไรบ้าง?
1. ค่ายรถยนต์ อาทิ
- MG, Volvo, Nissan, Honda, Toyota, Great Wall Motor และ BMW
2. แพลตฟอร์มการชาร์จไฟฟ้า (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน ปี 2564)
- สถานีชาร์จไฟฟ้า 693 แห่งทั่วประเทศ
* แบบชาร์จธรรมดา 1,511 หัวจ่าย
* แบบชาร์จเร็ว 774 หัวจ่าย
* การติดตั้งที่ชาร์จด้วยบริษัท Delta
- การชาร์จด้วยไฟฟ้าตามบ้านเรือน
* มิเตอร์ 200 เฟส 3
* มิเตอร์ 400 เฟส 3
3. นโยบายการค้า (อัตราภาษีนำเข้าปกติ 80% จากราคาประเมิน)
- เขตการค้าเสรี อาเซียน-จีน : ภาษีนำเข้า 0%
- ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น : ภาษีนำเข้า 20%
4. นโยบายส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
- กิจการผลิตรถไฟฟ้าแบบแบตเตอรีเป็นหลัก (Battery Electric Vehicle: BEV) ได้รับสิทธิละเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และหากมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาก็สามารถได้รับสิทธิเพิ่ม
- หากลงทุนต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ได้สิทธิละเว้นเพียง 3 ปี และจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น
* เริ่มผลิตรถยนต์ภายในปี 2565
* มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญเพิ่มเติมจากข้อกำหนดพื้นฐาน
* มีปริมาณการผลิตจริงมากกว่า 10,000 คันต่อปี
* มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา
- ถ้ามีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ด้วย จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ทั้งนี้ต้องการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 3 ชิ้น
- การให้สิทธิประโยชน์สำหรับการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือเพิ่มการใช้เทคโนโลยีในการผลิต
- ลดภาษีอากรขาเข้าสำหรับชิ้นส่วนที่ไม่มีการผลิตในไทย 90% เป็นเวลา 2 ปี
ฯลฯ
อนาคตรถยนต์ไฟฟ้าคือแหล่งพลังงาน?
ปัจจุบันระบบไฟฟ้าของเรากำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากโครงสร้างการผลิตไฟฟ้ากำลังเป็นไปในแบบคาร์บอนเป็นกลาง (ตามกฎหมาย) หรือ carbon-neutral อย่างรวดเร็วและแปรผันมากขึ้นพร้อมๆ กันตามสภาพอากาศ
ในสหภาพยุโรป 58% ของการผลิตไฟฟ้ามีคาร์บอนเป็นกลางอยู่แล้ว และสถานการณ์ยังคงดีขึ้นเรื่อย ๆ แบบทวีคูณ ภายในปี 2030 EVs ควรลดการปล่อย CO2 สี่เท่าอันเป็นผลมาจากกำหนดการของสหภาพยุโรปที่มุ่งพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
ดังนั้น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะทำให้เกิดความผันผวนของระบบและต้องการความยืดหยุ่น ตลอดจนองค์ประกอบในการตอบสนองความต้องการเพื่อให้ระบบมีเสถียรภาพ เชื่อถือได้ และมีราคาสมเหตุสมผล
เพื่อต่อสู้กับความไม่มั่นคงนี้ ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของความยืดหยุ่นในระบบพลังงาน แทนที่จะเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพหรือความจุของโครงข่ายไฟฟ้า เพราะ EV สามารถเชื่อมต่อการขนส่งและพลังงานที่ยั่งยืนเข้ากับระบบนิเวศแบบฝังตัว
พูดง่ายๆ ก็คือ EVs ทำหน้าที่เป็นแบตเตอรี่ขนาดใหญ่บนล้อ ทำให้สามารถเก็บพลังงานและนำไปใช้ในภายหลังได้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะมีที่ชาร์จ EV จำนวนมากซึ่งสามารถใช้เป็นพลังงานสำรองแบบรวมศูนย์ซึ่งมีกำลังสูงสุดเท่ากับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ภายในปี 2040 รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มความจุในการจัดเก็บแบตเตอรี่ที่ติดตั้งไว้ได้ถึง 30 TWh!
--------------------
อ้างอิง:
- https://www.iea.org/commentaries/electric-cars-fend-off-supply-challenges-to-more-than-double-global-sales
- https://www.thomsonreuters.com/en/reports/electric-vehicles.html
- https://www.virta.global/blog/myth-buster-electric-vehicles-will-overload-the-power-grid#:~:text=Electric%20vehicle%20grid%20impact,%2D15%25%20in%20electricity%20consumption.
- www.bangkokbiznews.com