posttoday

สทป. นำร่อง 4 โครงการร่วมทุน เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

29 ธันวาคม 2563

ตามที่ พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ สทป. ได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้ว่า "สทป. จะต้องเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศตอบสนองความต้องการของกองทัพไทยและพันธมิตรอาเซียน ภายในปี 2564" เพื่อให้วิสัยทัศน์บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้ สทป. จะต้องนำผลงานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศทั้งในอดีตและที่มีอยู่ปัจจุบันมาผลักดันให้เกิดการพึ่งพาตนเองและการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะด้านการผลิตและการดำเนินกิจกรรมในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ 11 หรือ S-curve ที่ 11 เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข กล่าวว่า ที่ผ่านมาผลงานการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศของ สทป. ได้นำมาจัดทำเป็นอาวุธหรือยุทโธปกรณ์ต้นแบบและส่งมอบให้เหล่าทัพต่างๆ นำไปทดสอบทดลองใช้ให้ตรงตามความต้องการใช้งานที่แท้จริง และดำเนินการสู่กระบวนการมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของ สทป. ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ต้นแบบงานวิจัย ซึ่งยังไม่ได้เป็นต้นแบบอุตสาหกรรมที่ส่งต่อสู่สายการผลิตในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เนื่องมาจากข้อจำกัดด้านกฎหมายและด้านงบประมาณ จนกระทั่ง สทป. ได้ผลักดันพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 เป็นผลสำเร็จ และใช้บังคับในปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การศึกษาวิจัย การผลิต และการนำมาใช้ประโยชน์ โดยจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นของรัฐรวมถึงภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศจะส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวในภาคธุรกิจอันนำไปสู่การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในประเทศไทย เพื่อปรับเปลี่ยนสถานะของประเทศไทยจากการเป็นผู้ซื้อ มาเป็นผู้วิจัย ผู้พัฒนา และผู้ผลิตเพื่อการใช้งานภายในประเทศและการส่งออกต่อไป ทั้งนี้ สทป. ได้จัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการของสถาบันฯ ในการดำเนินกิจกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของ สทป. ตามบทบาทใน พ.ร.บ. เทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 อาทิ การจัดตั้งหรือร่วมกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งองค์กรที่เป็นนิติบุคคลรวมตลอดถึงการเข้าร่วมทุน ถือหุ้น หรือเป็นหุ้นส่วนกับบุคคลหรือนิติบุคคลใด เพื่อการดำเนินกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ในปีงบประมาณ 2564 ภายใต้พระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 นี้ สทป. มีโครงการนำร่องในการร่วมทุนเพื่อประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ ในลักษณะการร่วมจัดตั้งองค์กรนิติบุคคลและการไม่ร่วมจัดตั้งองค์กรนิติบุคคล จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย

1. การร่วมจัดตั้งองค์กรนิติบุคคล จำนวน 2 โครงการ ได้แก่

1.1 โครงการอากาศยานไร้คนขับ (UAV)

สทป. นำร่อง 4 โครงการร่วมทุน เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

โดยใช้แนวทางการดำเนินงานในรูปแบบการร่วมลงทุนแบบจัดตั้งนิติบุคคล ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน ซึ่งจะเห็นว่าปัจจุบันการใช้งานระบบอากาศยานไร้คนขับ นอกจากหน่วยงานของกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังมีหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนอื่นๆ มีความต้องการอย่างต่อเนื่องในการใช้งานระบบอากาศยานไร้คนขับ

ไม่ว่าจะเป็นอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ ซึ่ง สทป. เอง ได้มีการดำเนินการวิจัย และพัฒนาอากาศยานไร้คนขับร่วมกับภาคเอกชนเพื่อใช้ในภารกิจต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม

1.2 โครงการอาวุธและกระสุน

สทป. นำร่อง 4 โครงการร่วมทุน เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

สทป. ใช้แนวทางการดำเนินงานในรูปแบบการร่วมลงทุนแบบจัดตั้งนิติบุคคล ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน ซึ่ง สทป. เล็งเห็นว่า อาวุธปืนถือเป็นอาวุธประจำกายขั้นมูลฐานที่มีความสำคัญและมีความต้องการจำนวนมากของหน่วยงานด้านความมั่นคง และการจัดหาจากต่างประเทศก็มีข้อจำกัดในหลายด้าน อาทิ ข้อจำกัดด้านราคา ข้อจำกัดด้านเวลา ข้อจำกัดทางเทคนิค และข้อจำกัดด้านกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งภาคเอกชนในประเทศไทยนั้นมีขีดความสามารถที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การผลิต การประกอบรวม การปรับปรุง การเปลี่ยนลักษณะ การแปรสภาพ รวมถึงสามารถซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถลดการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งจะสามารถประหยัดงบประมาณและลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ

2. การไม่ร่วมจัดตั้งองค์กรนิติบุคคล จำนวน 2 โครงการ

2.1 โครงการเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง (Offshore Patrol Vessel : OPV)

สทป. นำร่อง 4 โครงการร่วมทุน เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

สทป. ใช้แนวทางการดำเนินงานในรูปแบบการร่วมลงทุนแบบไม่จัดตั้งนิติบุคคล ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและ/หรือภาคเอกชนไทย ซึ่งปัจจุบันกองทัพเรือฟิลิปปินส์ได้รับอนุมัติงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง จำนวน 6 ลำ

ซึ่งหน่วยงานในประเทศไทยมีอู่ต่อเรือที่มีศักยภาพต่อเรือประเภทนี้ซึ่งสามารถดำเนินการต่อเรือได้ จำนวน 6 ลำ ภายในระยะเวลา 4 ปี โดยเป็นการต่อเรือในประเทศไทย จำนวน 2 ลำ และการต่อเรือในประเทศฟิลิปปินส์ จำนวน 4 ลำ ซึ่งจะดำเนินการจัดหาในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล

2.2 โครงการยานเกราะล้อยางแบบ 4X4

สทป. นำร่อง 4 โครงการร่วมทุน เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

สทป. ใช้แนวทางการดำเนินงานในรูปแบบการร่วมลงทุนแบบไม่จัดตั้งนิติบุคคล ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน โดยประเทศฟิลิปปินส์ได้กำหนดโครงการปรับปรุงกองทัพในระยะที่ 2 (ปี 2561-2565) ซึ่งมีความต้องการจัดหารถ Armor Light Tactical Vehicle (LTV) จำนวน 900 คัน โดยบริษัทเอกชนของไทยได้เข้าแข่งขันและได้รับการคัดเลือกเป็นลำดับที่ 1 จากรัฐบาลประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อผลิตรถเกราะล้อยางแบบ 4x4 โดยรัฐบาลประเทศฟิลิปปินส์ต้องการให้เป็นการดำเนินการจัดหาในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ซึ่งบริษัทเอกชนของไทยมีศักยภาพในการผลิตยานเกราะล้อยางแบบ 4X4 ให้แก่กองทัพไทยและจำหน่ายแล้วในหลายประเทศ สทป. จึงได้ประกาศโครงการร่วมทุนผลิตยานเกราะล้อยางแบบ 4X4 กับบริษัทเอกชน ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้กับภาคเอกชนของไทย

พลอากาศเอก ดร.ปรีชาฯ กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานต่อไปว่า สทป. ยังคงต้องวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่เป็นโครงการเดิม ควบคู่ไปกับการดำเนินการโครงการใหม่ภายใต้พระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 ในลักษณะของการบูรณาการ และเป็นเทคโนโลยี 2 ทางที่ใช้งานได้ทั้งทหารและพลเรือน งานในโครงการใดที่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ก็จะนำมาพิจารณาดำเนินการ โดยเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่นอกจากจะทำให้กองทัพไทยพึ่งพาตัวเองได้แล้ว ยังเป็นอุตสาหกรรมที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่ประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย

“สทป. ยังคงต้องวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่เป็นโครงการเดิม ควบคู่ไปกับการดำเนินการโครงการใหม่ ในลักษณะของการบูรณาการและเป็นเทคโนโลยี 2 ทางที่ใช้งานได้ทั้งทหารและพลเรือน”