ย้อนรอยการทำลายล้างของตอลิบานครั้งก่อน
อีกสิ่งหนึ่งที่ชาวอัฟกันห่วงคือศิลปะและโบราณวัตถุของประเทศภายใต้การปกครองของตอลิบาน
ภายหลังจากที่กลุ่มตอลิบานเข้าควบคุมอัฟกานิสถานได้สำเร็จก็เกิดความกังวลจากชาวอัฟกันว่าการเข้ามาของกลุ่มตอลิบานครั้งนี้จะเหมือนครั้งก่อนหรือไม่
นอกจากความกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนรวมถึงการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กและสตรีแล้ว ยังเกิดความกังวลต่อศิลปะ โบราณวัตถุ และวัตถุทางศาสนาทั่วประเทศด้วย
"เรามีความกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยของพนักงานและผลงานของพวกเรา" โมฮัมหมัด ฟาฮิม ราฮิมี ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอัฟกานิสถานซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุกว่า 80,000 ชิ้นกล่าว
ย้อนกลับไปในปี 1996 เมื่อกลุ่มติดอาวุธตอลิบานเข้ายึดครองอัฟกานิสถานได้มีการบังคับใช้กฎหมายอิสลามสุดโต่งทั่วประเทศ รวมถึงพยายามลบเลือนอารยธรรมอื่นที่ขัดต่อศาสนาอิสลามให้หมดสิ้น รวมถึงการทำลาย "พระพุทธรูปแห่งบามียาน" ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจชาวพุทธทั่วโลก
พระพุทธรูปแห่งบามียานเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ อายุราว 1,500 ปี ซึ่งเป็นการแกะสลักเป็นพระพุทธรูปหินทรายที่แกะสลักอยู่ในหุบเขาเมืองบามียาน (Bamiyan) ทางตอนกลางของอัฟกานิสถาน
พระพุทธรูป 2 องค์ ได้แก่ องค์ตะวันตก (สูง 55 เมตร) สร้างขึ้นราวค.ศ. 618 และองค์ตะวันออก (สูง 38 เมตร) สร้างขึ้นราวค.ศ. 570 เมื่อครั้งที่อัฟกานิสถานเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวพุทธขนาดใหญ่บนเส้นทางสายไหม
แต่แล้วเมื่อปี 1998 ตอลิบานเข้ายึดครองนครมะซาริชารีฟ (Mazar-i-Sharif) นครที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอัฟกานิสถาน เมืองบามียานก็อยู่ภายใต้ปกครองของตอลิบานนับแต่นั้น
ตอลิบานประกาศเจตจำนงว่าจะทำลายพระพุทธรูปเหล่านั้นในปี 2001 โดยอ้างว่าการกราบไหว้บูชารูปเคารพนั้นขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากทั่วโลกที่ไม่เห็นด้วยและประณามการกระทำดังกล่าวรวมไปถึงรัฐสมาชิกอิสลามด้วยกันเอง
ยูเนสโกยังได้ส่งจดหมายมายังรัฐบาลตอลิบานจำนวน 36 ฉบับเพื่อต่อต้านการระเบิดทำลายพระพุทธรูป ขณะที่หลายประเทศอย่างเช่นอินเดียและญี่ปุ่นเสนอทางออกว่าให้นำพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ที่ประเทศของตน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจตอลิบานได้เลย
ท้ายที่สุดพระพุทธรูปแห่งบามียานถูกทำลายทิ้งในวันที่ 2 มีนาคม 2001 ด้วยอาวุธต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกระหน่ำยิงด้วยปืนหรือการใช้ระเบิดจนพระพุทธรูปพังทลายไปจนหมด
ในวันที่ 6 มีนาคม 2001 เดอะไทมส์ อ้างคำพูดของมุลเลาะห์ โอมาร์ นำกลุ่มตอลิบานว่า "มุสลิมทั้งหลายควรภูมิใจกับการทำลายรูปเคารพเพราะนี่คือการสรรเสริญอัลลอฮ์"
อีก 2 ปีถัดมายูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนพระพุทธรูปแห่งบามียานเป็นมรดกโลกทางวัฒธรรม และภายหลังได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูซ่อมแซมพระพุทธรูปดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามไม่สามารถลบล้างบาดแผลที่เกิดขึ้นในจิตใจใครหลายคนไปได้
นอกจากนี้ภายใต้การปกครองของตอลิบานตั้งแต่ปี 1996 ถึง 2001 การแสดงงานศิลปะรวมถึงดนตรีถือเป็นสิ่งต้องห้าม โดยในปี 2001 กลุ่มตอลิบานได้ทำลายงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์กรุงคาบูลไปนับไม่ถ้วน
มีรายงานว่าในระยะเวลาเพียงแค่ปีเดียวพวกเขาทำลายงานศิลปะโบราณไปอย่างน้อย 2,750 ชิ้น
ส่งผลให้ในปี 2003 ถึง 2006 อัฟกานิสถานต้องใช้เงินประมาณ 350,000 เหรียญสหรัฐเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมอาคารพิพิธภัณฑ์ที่พังเสียหาย
ซาห์รา คาริมี ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังและประธานขององค์กรภาพยนตร์อัฟกันเขียนจดหมายเปิดผนึกไปยังองค์กรสื่อระดับโลกเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ส่วนหนึ่งของข้อความระบุว่า "หากกลุ่มตอลิบานเข้ายึดครองอัฟกานิสถานได้สำเร็จ พวกเขาจะแบนงานศิลปะทั้งหมด...พวกเขาทรมานและสังหารหนึ่งในนักแสดงตลกที่รักของเรา...ฉันและผู้สร้างภาพยนตร์คนอื่นๆ อาจเป็นเป้าหมายต่อไปของพวกเขา"
To All the #Film_Communities in The World and Who Loves Film and Cinema!I write to you with a broken heart and a deep hope that you can join me in protecting my beautiful people, especially filmmakers from the Taliban. #Share it please, don't be #silent. pic.twitter.com/4FjW6deKUi
— Sahraa Karimi/ ???? ????? (@sahraakarimi) August 13, 2021
นอกจากนี้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมากลุ่มติดอาวุธตอลิบานได้สังหารอับดุลลาห์ อาเตฟี กวีและนักประวัติศาสตร์ชาวอัฟกันในจังหวัดอูรุซกันทางใต้ของอัฟกานิสถานด้วย
Photo by WAKIL KOHSAR / AFP