posttoday

KBANK กำไร Q3/67 โต 6.05% แตะ 11,965 ล้าน หนุน 9 เดือน กำไรพุ่ง 15.41%

21 ตุลาคม 2567

KBANK งบไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิ 11,965 ล้านบาท โต 6.05% หนุนกำไรสุทธิ 9 เดือนแรก พุ่ง 15.41% แตะ 38,104 ล้านบาท จากรายได้จากกาาดำเนินงานสุทธิเติบโตสูงกว่าค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ และตั้งสำรอง ECL ลดลง

          นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.05% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 5.43% จากไตรมาสก่อน หลักๆ เกิดจากการลดลงของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ส่วนใหญ่จากธุรกิจประกัน 

          อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากค่าธรรมเนียมรับของบริการการค้าระหว่างประเทศ และค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ประกอบกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเล็กน้อย จากไตรมาสก่อน จากสภาพ เศรษฐกิจโดยรวมที่ยังคงฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง และธนาคารมีการยกระดับกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่ อย่างมีคุณภาพ 

          โดยอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ 3.61% ลดลง จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิที่เพิ่มจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ กองทุนแห่งหนึ่งซึ่งส่งผลต่อธนาคารเพียงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการดังกล่าว อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน

          ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ มีจำนวน 21,501 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน จากการที่ธนาคารยังคงบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) มีจำนวน 11,652 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นไปตามหลักความ ระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน และรองรับความไม่แน่นอน ของปัจจัยต่างๆ รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ

          สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 85,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.75% จากงวดเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากรายได้จากการดำเนินงานสุทธิเติบโต จำนวน 7,501 ล้านบาท หรือ 5.29% สูงกว่าค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ซึ่งเพิ่มขึ้นจำนวน 3,640 ล้านบาท หรือ 6.02% ตามการขยายตัวของปริมาณธุรกิจ 

          แม้ว่าการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) จะลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อน แต่ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงตั้งสำรองฯ ตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง รองรับความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงได้ตั้งสำรองฯ สำหรับไตรมาส 3/2567 จำนวน 11,652 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ส่งผลให้กำไรสุทธิมีจำนวน 38,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.41% จากงวดเดียวกันปีก่อน

          รายได้จากการดำเนินงานสุทธิมีจำนวน 149,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.29% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยมีรายการหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่มีจำนวน 113,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.14% ตามภาวะตลาด โดยในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้ออกมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้า กลุ่มเปราะบาง และลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในหลายพื้นที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้าสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว 

          อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ 3.66% รายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิมีจำนวน 24,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.98% เติบโตหลักๆ จากค่าธรรมเนียมรับจากการบริหารความมั่งคั่งผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครอบคลุมทั้งของธนาคารและบริษัทย่อย รวมทั้งพันธมิตร และค่าธรรมเนียมรับจากการให้บริการด้านเครดิต 

          นอกจากนี้ มีการเพิ่มขึ้นของกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และรายได้จากการลงทุน รวมทั้งรายได้จากการปริวรรตเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ทำให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 36,229 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.64% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ มีจำนวน 64,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.02% จากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการขยายช่องทางการให้บริการลูกค้า และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มตามการขยายตัวของปริมาณธุรกิจ 

          โดยธนาคารและบริษัทย่อยยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้เกิดความคุ้มค่า และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่าย จากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 42.95% ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันปีก่อน

          ณ วันที่ 30 ก.ย.2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,367,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 83,469 ล้านบาท หรือ 1.95% หลักๆ จากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินด้านสินทรัพย์มีจำนวน 663,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.60% จากการบริหารสภาพคล่องของธนาคาร 

          อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อสุทธิมีจำนวน 2,321,531 ล้านบาท ลดลง 2.11% จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง ประกอบกับการ ยกระดับกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างมีคุณภาพสะท้อนการบริหารความสมดุลของความเสี่ยงและ ผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 

          นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารในการบริหารจัดการคุณภาพ สินทรัพย์ให้มีประสิทธิผลสูงสุดอย่างระมัดระวังรอบคอบ สำหรับเงินให้สินเชื่อธุรกิจที่ไม่มีหลักประกันบางส่วนที่หยุดดำเนินการ ธนาคารจึงมีแผนการขายในอนาคตและได้โอนย้ายไปเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน รวมทั้งมีแผนให้บริษัทย่อยของธนาคารจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามที่ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว 

          สำหรับเงินรับฝากมีจำนวน 2,770,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น หรือ 2.61% ส่งผลให้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อ ต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 87.85% ทั้งนี้ หากไม่รวมปริมาณเงินรับฝากที่เพิ่มในระยะสั้น อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากจะอยู่ใน ระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน 

          ส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) อยู่ที่ระดับ 3.20% เพิ่มขึ้น เล็กน้อยจากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดจากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น และพิจารณาดำเนินการตั้งสำรองฯ อย่างเพียงพอตามหลักความระมัดระวัง ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ 150.72% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 30 ก.ย.2567 ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 20.58%